Home ข่าวมอเตอร์ไซค์ THE DAKAR EXPERIENCE 40TH EDITION : เมื่อผมไปดู DAKAR

THE DAKAR EXPERIENCE 40TH EDITION : เมื่อผมไปดู DAKAR

0

การที่เราจะได้ไปดู Dakar เราจำเป็นจะต้องขี่แรลลี่เล็กๆ ของเราเองก่อนจะได้ไปทันออกสตาร์ท เรายังคงอยู่ในเอกวาดอร์ ลุยไปทางตอนใต้ ขณะที่วางแผนเส้นทางการแข่งขันในวันแรกของ Dakar นั้นเริ่มต้นออกตัวที่เมือง Lima ในเปรูซึ่งกินระยะทางราวๆ 2,000 กม. จากที่ๆ เราอยู่ และเราก็ไปทันเวลาโดยมีเวลาให้เตรียมตัวในช่วงบ่าย

Words: Michnus Olivier                Translate & Edit: Benz

1 วันก่อนการแข่งขัน Dakar ครั้งที่ 40 จะเริ่มขึ้น เราเดินโต๋เต๋ไปรอบๆ Parc ferme ที่กั้นรั้วไว้ในเมือง Lima ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศของการแข่งขัน Dakar มันเป็นช่วงบ่ายวันศุกร์และเราคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นเมืองร้างไร้ผู้คน แต่กลับผิดคาด ชาวเปรูนั้นเสพติด Dakar มากๆ ดังนั้นที่นี่ก็เลยพลุกพล่านไปด้วยฝูงชน จนทำให้มีฝุ่นฟุ้งแดงไปทั่ว และเสียงของความตื่นเต้นและดีใจก็เงียบลงเมื่อพระอาทิตย์ตกลง

เมือง Lima จุดเริ่มต้นของการแข่งขัน Dakar

Parc ferme คือที่ลานจอดรถแข่งที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้ดูแลการแข่งขันแล้ว คับคั่งไปด้วยรถแข่ง Dakar ส่วนพื้นที่ด้านในก็เต็มไปด้วยบูทของสปอนเซอร์และแบรนด์ดังต่างๆ มากมายมาขายของเจ๋งๆ ของพวกเขาให้กับคนท้องถิ่น ชาวเปรูกำลังอยู่ในอารมณ์ครื้นเครงกันไปทั่ว จนผู้คนที่มาออกบูทเองก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย กระทั่งพวกเราเองก็ถูกดูดเข้าไปในอารมณ์ปาร์ตี้ไปด้วย

ขณะที่เรากำลังยืนน้ำลายหกเพราะรถที่จอดเรียงรายอยู่ข้างหน้า เราก็พลันเห็น Lyndon Poskitt ยังคงทำรถของเขาอยู่ เขาเป็นนักแข่งเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ที่นี่ ขณะที่คนอื่นๆ กลับไปพักที่โรงแรมเพื่อเตรียมออกสตาร์ทในวันรุ่งขึ้น ผมเรียกหา Lyndon ขอร้องให้เขามาคุยและถ่ายรูปกับผมหน่อย เขาก็ตะโกนกลับมาว่าอีกแป๊บนึงพร้อมรอยยิ้มกว้างๆ เขาแค่ต้องการจะเอาถุงยางใส่ครอบระบบนำทางของเขา เขาเป็นมิตรมากๆ และพูดคุยกับผมอยู่เกือบ 20 นาที เล่าว่าเขารู้สึกอย่างไรบ้าง เขาเคยโชคไม่ดีและต้องลงแข่งพร้อมเป็นไข้หวัดใหญ่รุนแรงจนต้องไปหาหมดทุกวันเพื่อให้หมออนุญาตให้เขาลงแข่งได้

Lyndon คือคนที่เคยขี่แข่ง Dakar ที่ในคลาส Malle Moto (แข่งด้วยรถมอเตอร์ไบค์) ซึ่งต่อมาถูกรีแบรนด์โดย Motul ในปีนี้ ทุกๆ ปีจะมีนักแข่งที่บ้าพอลงแข่งไม่เกิน 30 คน พวกเขาจะได้รับพื้นที่สำหรับจัดการรถของพวกเขาเองและในพื้นที่นั้นก็จะใช้เป็นที่นอนพักแรมด้วย พวกเขายัไงได้รับการบริการขนส่งเพื่อใช้ขนส่งเครื่องมือ ล็อกเกอร์สำหรับอะไหล่และอุปกรณ์สำหรับนอนพักระหว่างสเตจ นอกจากนั้นแล้วนักแข่งในคลาสนี้นั้นต้องพึ่งตัวเองและพวกเขาแข่งขันในรายการตั้งแต่ช่วงแรกๆ พวกเขาไม่มีทีมช่างมาคอยนวดหรือให้กำลังใจ พวกเขานั้นฮาร์ดคอร์มากๆ ที่มาแข่ง ขนาด Bear Grylls ที่กินฉี่ตัวเองมาแล้วก็ยังไม่มีอะไรจะพูดว่าพวกเขาเหล่านี้ได้

ผมเดินผ่านแถวของรถแข่งที่จอดเรียงรายอยู่ นับเป็นครั้งแรกในชีวิตและทำให้ผมนึกถึงตอนรวมคลิปอุบัติเหตุในการแข่งขึ้นมาเลย ขนาดและสภาพของมันทำผมใจฝ่อไปพอควร และรู้สึกว่าต้องก้มหัวให้คนพวกนี้จริงๆ รถเข้าแข่งขันหลักๆ นั้นเป็นรถขนาดใหญ่ (เช่น Peugeot 3008 DKR) แค่เห็นมันก็รับรู้ได้ถึงฐานล้อที่ใหญ่และยาวกว่าได้เลย ล้อของมันใหญ่มาก ขนาด 37/12.5 – 17 เลยล่ะครับ

ทีมแข่งของ Toyota จากแอฟริกาใต้เองก็มา และรถกระบะชองพวกเขาก็ดูดุดันสุดๆ แต่ก็ไม่ทิ้งความงามเลย ผมมั่นใจว่าทุกคนที่ผมรู้จักจะต้องอยากลองขับมันดูแน่ๆ พวกมันแต่ละคันมีแต่อะไหล่แพงๆ แจ่มๆ (เช่นระบบกันสะเทือน) และข้างในก็เต็มไปด้วยอุปกรณ์นำทางระดับเทพ เราก็พอจะมีของแต่งดีๆ อยู่บ้าง ก็พวกสติ๊กเกอร์กับผ้าบัฟ

ไม่นานนักเราก็กลับไปที่โรงแรมเพราะว่าเรามีกำหนดการเริ่มต้นกันตั้งแต่เช้าตรู่เลยทีเดียว

เริ่มต้นวันรุ่งขึ้นเราจะออกเดินทางจาก Lima มุ่งไปยังเมืองชายฝั่งเล็กๆ ทางตอนใต้ระยะทางราวๆ 200 กม.ผ่านเส้นทาง Pan-American Highway เราตัดสินใจที่จะอกจาก Lima และไปอยู่ที่จุดสตาร์ทของสเตจพิเศษใน Pisco ซึ่งที่นั้นเราสามารถขับวนเป็นลูประยะทาง 30 กม.ในเนินของทะเลทรายเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องได้เป็นอย่างดี เราออกจาก Lima ตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อเลี่ยงรถติด แต่ก็ยังไม่วายจะเจอกับฝูงชนที่กำลังแห่กันไปที่ Pisco เพื่อไปดูการแข่งขัน ตลอดเส้นทาง 200 กม.เต็มไปด้วยเต๊นท์ขายอาหารและคนที่ตั้งแคมป์วางเก้าอี้และปิคนิคกันเพื่อรอขบวนรถแข่ง Dakar ผ่านพวกเขาไป

ด้วยเหตุผลบางอย่างขณะที่ผมขี่รถไปยัง Pisco ผู้คนต่างติดว่าเราคือคนที่มาแข่ง Dakar และโบกมือเชียร์เรายกใหญ่ บางทีอาจจะเป็นเพราะแอดเวนเจอร์ไบค์กับชุดของเรา ทำให้เราดูเหมือนพวกนักแข่ง

ค่ายชั่วคราวของการแข่งขันนั้นเต็มไปด้วยรถไฟส่องสว่าง ธงแบนเนอร์ รถบัส รถบรรทุกรถแบบออฟโร้ดและที่พักชั่วคราว จุดเริ่มต้นและเส้นชัยสำหรับสเตจพิเศษใกล้กับค่ายพักชั่วคราวแห่งนี้ ดังนั้นที่นี่จึงเต็มไปด้วยผู้คนนับพันที่ขับรถเข้ามาเพื่อจะเข้ามาดูการแข่งขัน เต๊นท์และทุกอย่างที่ให้ร่มเงาได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อรอการแข่งขันสเตจพิเศษนี่เริ่มต้น มีร้านขายอาหารและตัวแทนขายของแบรนด์ต่างๆ เต็มไปหมด เบียร์และเครื่องดื่มเย็นๆ รวมถึงหมวกก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

รถมอเตอร์ไบค์จะเริ่มต้นก่อนและถูกเข็นออกมาในช่วงเที่ยงวัน นักแข่งแถวหน้าไม่ทำให้ผิดหวัง พวกเขาออกจากเส้นกันไปแบบเต็มกำลังและโดดไปบนเนินทรายลูกใหญ่อย่างไม่เกรงกลัว รถแข่งขนาด 450 ซีซีน้ำหนักเบาเหล่านั้นกำลังลอยตัวอยู่เหนือทรายทิ้งให้เห็นแต่รอบทรายด้านหลังพวกเขา พวกเขากระโดดเหินบนเนินทรายราวกับว่าเขาขี่อยู่ในสนามโมโตครอสและมีนักแข่งคนนึงพลาดท่า จบเกมตั้งแต่วันแรกเลย!

รถยนต์ก็ออกตัวตามไปและสิ่งที่คุณเห็นในทีวีนั้นคือเรื่องจริง เพราะพวกเขาขับเร็วมากๆ พวกเขาเร่งความเร็วตั้งแต่เริ่มต้นและใช้โมเมนตัมในตอนนั้นลุยไปบนเนินทรายราวกับกระสวยอวกาศ เสียงคำรามของเครื่อง V6 ทวินเทอร์โบทำให้ทุกคนฮึกเหิม จนน้ำตาเอ่อไหลออกมาด้วยความยินดี รถบางคันมีท่อไอเสียยื่นออกมาด้านหน้าล้อหลัง พอพวกเขาเหยียบคันเร่ง ไอเสียก็จะพุ่งออกมาเป่าให้ฝุ่นฟุ้งขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีอะไรที่ผมเคยเห็นในสนามแข่งไหนมาก่อน เหมือนรถแข่ง F1 ที่เป็นสุดยอดของการแข่งขันและเทคโนโลยี นี่คือการแข่งขันครั้งที่ 16 ของ Giniel de Villiers และเขาจบการแข่งขันทั้ง 16 ครั้ง เขามีชีวิตในแบบที่คนส่วนใหญ่อย่างพวกเราได้แต่เฝ้าฝันถึง?

ในตอนบ่ายแก่ๆ รถกระบะก็ได้มารวมตัวกันที่เส้นสตาร์ทและดูเหมือนกับโขลงช้างมารอเล่นน้ำ พอคันแรกออกจากเส้นไปทะเลทรายก็กลับมาเงียบ ผู้คนหยุดทุกอย่างที่เขากำลังทำและหันหน้าไปยังทิศทางของเสียง เรียกได้ว่าแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง การที่ได้เห็นกระบะเหล่านั้นออกจากเส้นและทะยานออกไปบนทราย พวกเขาขับกันเร็วมากๆ มันดูเหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นจำนวนมากมาผลักพวกเขาให้ขับออกไปบนทรายด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ หลายๆ คนคงจะอิจฉาความแรงและความดุดันของรถกระบะเหล่านี้แน่ ผมมั่นใจว่าคนขับรถเหล่านั้นจะรู้สึกเหมือนกับพระเจ้าที่ควบคุมรถที่ดุดันเหล่านั้น และอย่าคิดแม้สักนิดเดียวว่าพวกเขาจะทำอะไรง่ายๆ เพื่อข้ามยอดของเนินทราย พวกเขาขับรถลอยตัวขึ้นไปเล็กน้อยและตะลุยข้ามทรายไปแบบดื้อๆ! การจะเอารถบ้าเครื่อง V8 หนักขนาดนั้นกระโดดขึ้นเหมือนกับการที่เปียโนลอยบนอากาศ แต่ตอนลงมากลับสวยงามราวกับผึ้งลงมาเกาะอะไรสักอย่าง เสียงดังแต่ฟังแล้วเพราะสำหรับผมเป็นอีกเรื่องนึงเลย มันทุ้มลึก และหนักแน่นเพียงพอที่จะใช้เป็นค้อนทุบคอนกรีตให้แหลกเป็นผงเลย

ช่วงเย็นขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลับตาไปทางฝั่งมหาสมุทร เราตัดสินใจที่จะตั้งแคมป์บนเนินทรายที่มีแสงสว่างส่องมาจากทางค่ายพักแรมของการแข่งขัน เราถูกปกคลุมด้วยฝุ่นละเอียดและต้องซัดเบียร์ลงไปซักหน่อยเพื่อเอาฝุ่นทรายออกจากฟัน ก่อนที่ผู้ชมจากชาติต่างๆ จะมาร่วมจอยกับเรา มันคือความสุขเล็กๆ ที่ได้นั่งและคุยกับคนที่คุณไม่เคยเจอมาก่อน แต่ทุกคนที่คุยกันนั้นกับคุยถูกคออย่างมาก

การตามไปดูการแข่งขัน Dakar คือการแข่งขัน Dakar เล็กๆ ในตัวมันเองก็ว่าได้ ข้อมูลสำหรับผู้ประสานงานของวันถัดไปและสเตจพิเศษจะถูกเผยแพร่ออกมาในช่วงราวๆ 2 ทุ่ม ผู้ติดตามจะสามารถรับข้อมูลพื้นฐานต่างๆ จากแอ็พ Dakar บนมือถือ ซึ่งจะให้ข้อมูลคร่าวๆ ว่าพวกเขาจะเริ่มสเตจต่อไปกันที่ไหน ไปจบที่ไหน จุดรับชม เป็นต้น เราต้องตัดสินใจว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน และที่ไหนดีที่สุดสำหรับชมการแข่งขันด้วยข้อมูลที่น้อยนิดแบบนี้ ซึ่งการแข่งขันโดยปกติแล้วจะเริ่มต้นในตอนเช้าของวันใหม่ ราวๆ 6 โมงเช้า แต่ผู้จัดสามารถจะเปลี่ยนแปลงมันได้ตลอดเวลา เช่น ถ้าสเตจต่อไปอยู่ห่างออกไป 90 กม. เราจะต้องไปอยู่ที่ถนนก่อน 6 โมงเช้า เพื่อคะเนว่าที่ไหนคือจุดรับชมที่ดีที่สุด เนื่องจากเส้นทางที่เป็นแทร็กนั้นจะถูกห้ามเข้าไปและต้องลุยออฟโร้ดไปหาจุดที่คิดว่าดีที่สุดเหล่านั้นเอง เส้นทางส่วนใหญ่จะนำไปสู่สภาพพื้นที่ออฟโร้ดที่รถโฟร์วีลและรถแอดเวนเจอร์ลุยๆ ของเราจะไม่สามารถลุยเข้าไปได้โดยง่าย โชคดีที่สองวันถัดมา การแข่งขันนั้นตั้งฐานอยู่ที่เมือง San Juan de Marcona เมืองชายฝั่งทะเล และเราสามารถตั้งแคมป์บนชายหาดและเดินทางไปชมในจุดที่ห่างออกไปราว 60 กม. กระนั้นคุณก็ยังต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 และเก็บเต๊นท์ เตรียมน้ำและอาหารสำหรับวันนั้นแล้วมุ่งหน้าไปยังทะเลทราย

สเตจที่ 1 จบที่ 70 กม.ห่างจากเมืองและเราสามารถตั้งหลักในทะเลทรายได้ ทรายในทะเลทรายนั้นมีชั้นที่แข็ง เม็ดเล็กและหินที่จะค่อยๆ กร่อนไปเรื่อยๆ อยู่ข้างใต้จนในที่สุดก็จะกลายเป็นพายุฝุ่น แต่พอพวกกลุ่มนำผ่านไปและระเบิดชั้นทรายนั้นไป มันก็จะกลายเป็นนรกที่เต็มไปด้วยฝุ่น พวกท้ายแถวจะได้เสียเปรียบตรงนี้มากเนื่องจากพวกเขาไม่ได้เจอแค่เพียงฝุ่นทราย และยังต้องเจอกับอุปสรรคที่มองไม่เห็นที่ซ่อนอยู่ในฝุ่นทรายเหล่านั้น ทำให้มันท้าทายมากยิ่งขึ้นเวลาที่จะหาเส้นทางขับขี่

การตัดสินใจที่จะยังใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายางและผ้าบัฟปิดหน้าและปากนั้นมีผลดีต่อเรามากจริงๆ การสำลักฝุ่นทรายและแสงแดดอาจจะทำให้เราต้องเจอกับวันที่ยากลำบากขณะที่รอให้นักแข่งขับผ่านเราได้ สเตจนี้ไม่มีรั้วสำหรับผู้ชมและมันก็ขึ้นอยู่กับเราเอง เราต้องระวังตัวเองขณะที่นักแข่งกำลังขี่หรือขับผ่านเราไปด้วยความเร็วสูง ซึ่งเกิดภาพที่น่าทึ่งมากๆ

มันมีความแตกต่างระหว่างทีมโรงงานและทีมอิสระ ทีมชั้นแนวหน้าจะจบการแข่งขันสเตจพิเศษระยะทาง 250 กม.ประมาณ 2 ชม. และมุ่งหน้ากลับไปยังค่ายพักแรมในช่วงที่เหลือของวัน ขณะที่ทีมอิสระใช้วเลานานกว่าเนื่องจากพวกเขาไปได้ช้ากว่าและระมัดระวังมากกว่า พวกเขายังต้องเจอกับเส้นทางที่ยากกว่าอันเกิดมาจากพวกแถวหน้าทำไว้ให้

เราติดตามการแข่งขันได้เพียงแค่ 4 วัน แต่มันเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งมากๆ ซึ่งผมหวังว่าจะได้มาทำแบบนี้อีกสักครั้งนึง อารมณ์และบรรยากาศทั้งหมดมันสุดยอดมากๆ!

คำแนะนำ:

ถ้าคุณตัดสินใจว่าจะมาเกาะติดการแข่งขัน Dakar แนะนำให้ใช้รถยนต์ การจะตามด้วยมอเตอร์ไบค์มันเป็นความคิดที่ดี แต่มันจะทำให้ยุ่งยากกว่ามาก เราไม่สามารถใช้รถที่เต็มไปด้วยสัมภาระของเราลุยเข้าไปได้ แต่ด้วยรถโฟร์วีลมันจะง่ายกว่าที่จะไปในที่ต่างๆ ในที่ๆ รถโหลดของหนักๆ ไปได้ยากลำบาก การที่ต้องไปไหนกับมอเตอร์ไบค์หนักๆ ทั้งวันไม่สบายเท่าเราได้ใส่ชุดบางๆ เบาๆ เย็นๆ สบายหรอกครับ นอกจากนี้ตอนที่เราตั้งแคมป์ตองกลางคืนและขนน้ำและอาหารมาเนี่ย รถยนต์ทำได้ง่ายกว่ามากเลย แล้วถ้ามีคนช่วยแชร์ค่ารถด้วยก็จะยิ่งรถค่าใช้จ่ายต่อคนไปได้มากด้วย แถมทุกคนยังช่วยนำทางและวางแผนวันถัดไปได้ด้วย

รับชมข่าวสารอื่นๆจากทาง SuperBike Magazine คลิก 

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

Exit mobile version