อลงกรณ์ กิตติวิบูลย์มาศ (Boat) – Ducati Scrambler
รายการของแต่ง
– ปั๊มเบรคบน Brembo 19 RCS
– กระจกปลายแฮนด์ Zuga
– กระปุกน้ำมันเบรคหน้า–หลัง Rizoma
– ฝาปิดน้ำมันเครื่อง Rizoma
– ปิดรูเฟรม STM
– ชุดกันล้ม R&G
– การ์ดแคร้งเครื่อง Evotech
– เพลทข้าง Motoplay
– ไฟเลี้ยวหน้า Koso
– ชุดก้านคลัทช์ TWM
– กันสะบัด Ohlins
– โช้คอัพหลัง YSS
– ฝาถังน้ำมัน TWM
– แตร Piaa
– ชุดไฟท้ายพร้อมไฟเลี้ยวในตัว Motodynamic
– แฮนด์ Gilles GTO Tapered
– ชิลด์หน้า Mugello
– ครอบสเตอร์หน้า Biker
– ท่อไอเสีย Termignoni Ducati Racing (Slip-on)
สวัสดีครับผมโบ๊ตครับ ตอนนี้เป็นกราฟฟิคดีไซน์เนอร์ ทำออกาไนซ์ เกี่ยวกับหนังสือและอีเวนท์ครับ สำหรับตัวผมเองการที่ได้มาขี่มอเตอร์ไบค์นั้นเริ่มต้นมาจากการถูกบังคับจากการจราจรที่แสนคับคั่งในกรุงเทพฯ ด้วยความที่ผมมองว่ารถมอเตอร์ไบค์นั้นไปได้เร็วกว่า สะดวกสบายและคล่องตัวกว่า โดยอิงจากเมื่อก่อนผมเริ่มทำงานใหม่ๆ ไม่มีรถยนต์ ต้องอาศัยเดินทางโดยขนส่งสาธารณะอย่างพวกแท็กซี่ รถเมล์ ซึ่งใช้เวลานาน ก็เลยมองหารถมอเตอร์ไบค์เล็กๆ มาฝึกหัดขับก่อนในกรุงเทพฯ ยอมรับเลยว่าตอนออกถนนครั้งแรกน่ากลัวมากๆ กับการเผชิญสภาพท้องถนนเมืองกรุง
ตัวผมเริ่มต้นมาจาก Kawasaki KSR ก็แต่งไปเรื่อย ตามคนอื่นๆ จนเริ่มขยับซีซี ขึ้นมาเป็น KTM Duke 200 ซึ่งตัวผมเองโดยพื้นฐานแล้วผมจะชอบรถคันที่มิติไม่ใหญ่ รวมไปถึงมีน้ำหนักที่ไม่มาก เป็นคนขี่ไม่เร็ว สามารถเอารถอยู่ ซึ่งก็ตามนิสัยคนขี่รถ พอใช้ 200 ไปสักระยะหนึ่งก็จะเริ่มรู้สึกว่ามันไม่พอมือละ ประกอบกับการเดินทางไปทำงานที่ย้ายที่ทำงานไปไกลขึ้น จึงเริ่มต้นมองหารถใหม่มาสะดุดตากับ Scrambler นี่ด้วยเหตุผลที่ว่า เดิมทีผมเป็นคนที่ชอบแบรนด์ Ducati อยู่แล้ว ชอบในเครื่องยนต์ L-Twin ของ Ducati ที่มีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ซึ่งตอนนั้นก็ได้ลองขี่รถหลายๆ ตัว ซึ่งก็จะมีการตัดสินใจจากเรื่องของน้ำหนัก และก็รูปร่าง สุดท้ายก็ลงเอยกับเจ้าแสคมเบลอร์ ด้วยความที่เราทำงานด้านดีไซน์อยู่แล้ว ก็ทำให้เราชอบอะไรที่มีสไตล์ โดยรถคันนี้เป็นอะไรที่อยู่ตรงกลางระหว่างความคลาสสิคกับความโมเดิร์นพอดิบพอดี
ซึ่งตอนที่ได้มาขี่ครั้งแรกสุดเลยก็คิดว่ารถมันแรงมาก เพราะเราโดดมาจาก 200 ซีซีมาเป็นคันนี้เลย แต่ด้วยความที่ตัวรถเองนั้นขี่ง่าย ใช้เวลา 3-4 วันก็เริ่มคล่องกับการใช้งานในชีวิตประจำวันของเราละ และพบว่าตอบโจทย์กับการใช้งานของเราเป็นอย่างมาก
ส่วนหลักในการแต่งของตัวเองนั้นจะเป็นการเสริมพวกสมรรถนะเสียมากกว่า ผมให้ความสำคัญอยู่3 ส่วนก็คือ ระบบเบรค การควบคุม แล้วก็การยึดเกาะ เพราะลุคในสไตล์แสคมเบลอร์ของตัวรถซึ่งผมโอเคกับมันอยู่แล้ว ส่วนของที่เปลี่ยนจริงๆ เป็นการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการใช้งานของตัวเองให้มากขึ้นอย่างเช่น โช้คอัพหลัง แล้วก็แฮนด์ที่เปลี่ยนองศาจากเดิมเนื่องจากตัวผมเองเป็นคนตัวเล็กเลยมองหาแฮนด์ที่ขยับเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้น หลังจากนั้นก็เป็นกันสะบัดเพราะว่าล้อหน้าของตัวรถจะใหญ่กว่ารถทั่วไปเล็กน้อยทำให้หน้ามันไว บางทีเจอหลุมหรือเนินก็ทำให้เกิดอาหารสะบัดจนเหวอบ้างเหมือนกัน ก็ได้กันสะบัดมาช่วยตรงนี้ ตามมาด้วยระบบเบรค สุดท้ายก็เป็นพวกก้านคลัทช์ ที่นิ่มขึ้นกว่าของติดรถมา ยางก็ใช้ของ Pirelli มาตลอดในรถทุกคัน เพราะว่ายึดเกาะดี อย่างคันนี้ยางที่ติดรถมาก็นับว่าแปลกใจกับยางสไตล์ที่ยึดเกาะได้ดีจนไม่น่าเชื่อ ของแต่งต่างๆ ก็จะเป็นอะไรเราสามารถเอื้อมถึงได้ ไม่ใช่อุปกรณ์ที่มีราคาแพงมากจนเกินตัว ใช้ให้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป ผมมองว่าการแต่งรถเป็นเรื่องที่สนุก เมื่อทำให้มันพอดีกับตัวเรา ไม่ใช่จ่ายจนเกินตัวอันนั้นจะทุกข์ตามมา
โดยรถคันนี้เปรียบเสมือนกับเพื่อนร่วมทางเป็นสิ่งที่พาผมไปถึงจุดหมายทุกๆ ที่ได้ พาเราไปทำงาน พาเรากลับบ้าน พาเราไปในที่ๆ อยากไป มีความสุขกับการที่ได้ขี่ในสิ่งที่เรารัก
สุดท้ายฝากเรื่องความเร็วในการขับขี่ ด้วยการจราจรในกรุงเทพฯ ไม่เอื้ออำนวยกับความเร็ว อยากให้เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น คิดเผื่อเพื่อนร่วมทางด้วยนะครับ