Home รีวิวและทดสอบ รีวิว Aprilia RSV4 RF 2017 ทะลุ 200 แรงม้า

รีวิว Aprilia RSV4 RF 2017 ทะลุ 200 แรงม้า

0

ฉบับที่แล้วเรามีโอกาสได้ลองขับขี่เจ้า Aprilia RSV4 RF (MY17) ไปแล้วบ้างเนื่องจากเราได้ลองขี่มันในงานแทร็กเดย์ที่ทางค่ายจัดเอาใจลูกค้าที่หลงรักในแบรนด์ Aprilia และแนวคิด #be a racer แต่ยังจัดได้ว่าแค่ลองสัมผัสยังไม่ได้เทสต์กันแบบเต็มที่ ฉบับนี้เราจึงนำมันกลับมาทดสอบกันเองแบบถึงพริกถึงขิงอีกครั้งพร้อมขึ้นไดโนให้เห็นความแรงกันแบบชัดๆ มีอ้างอิงกันไปครับ

Words: Kavewat Aksornpim Edit: Benz Pics: Nicky

       Aprilia RSV4 RF คันที่เราทดสอบกันนี้ขอย้ำกันอีกครั้งนะครับว่าเป็นโมเดล 2017 ที่ผลิตขึ้นจำนวนจำกัดเพียง 500 คัน (ส่วนโมเดล 2018 นั้นยังไม่ได้จำหน่ายในบ้านเรา) Aprilia RSV4 RF นี้ถือเป็นสุดยอดรถโปรดักชั่นจากทางค่ายรถอิตาลีค่ายนี้ พูดกันง่ายๆ ก็เรือธงตัวท็อปนั่นแหละครับ และขอเกริ่นถึงความต่างให้เห็นถึงความต่างของ RF และ RR คือรวมๆ แล้วจะเหมือนกันหมดกระทั่งระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้ขับขี่และควบคุมรถได้ดีขึ้น ตลอดไปจนถึงเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบาย แต่ RF จะมีช่วงล่างที่อัพเกรดให้ดีขึ้นไปอีกคือ ใช้ระบบกันสะเทือนของ Ohlins แทน Sachs และล้ออลูมิเนียมฟอร์จแบบน้ำหนักเบาแทนที่ล้อแบบคาสต์ และจุดที่ต่างจากโมเดลก่อนหน้าหลักๆ ที่ทางค่ายเคลมมาก็คือเร็วกว่าเดิม 1 วินาทีเวลาขี่ในสนามแข่ง หากคุณไม่ใช่นักแข่ง ฟังดูอาจจะไม่สลักสำคัญอะไร แต่ถ้าคุณเป็นคนที่มีใจรักในความเร็วหรือชอบสปอร์ตไบค์ คุณจะสัมผัสได้เลยว่า 1 วินาทีนั้นก็แจ่มแมวมากเลยล่ะครับ

รูปโฉม

       สำหรับหน้าตานั้นที่เห็นได้ชัดคือลวดลายกราฟฟิกใหม่ต่างจากเดิม แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งสไตล์ตามแบบของ อาพริเลีย โดยเจ้า Aprilia RSV4 RF จะมาพร้อมกราฟฟิก Superpole หรือแบบเดียวกับรถแข่งในการแข่งขัน WSBK นั่นเอง ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกนั้นเหมือนกับโมเดลเก่าเลย แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลง มีการปรับเปลี่ยนทรงถังน้ำมันเล็กน้อยจากการย้ายตำแหน่งเซ็นเซอร์วัดแรงเฉื่อย แต่ในจุดนี้จะมองไม่เห็นครับ นอกจากนี้ก็จะมีหน้าจอแสดงผลสีแบบ TFTใหม่ที่สวยงามและแสดงข้อมูลต่างๆครบครันและใช้งานได้ง่ายผ่านสวิตช์เกียร์ที่ด้านซ้ายมือซึ่งสวิตช์เกียร์ที่ด้านซ้ายมือก็จะมีสิ่งที่เพิ่มเข้ามาอย่างปุ่มเปิดปิดการใช้งานระบบล็อกความเร็วในพิทเลนและครูซคอนโทรลเป็นการบ่งบอกอีกนัยนึงว่าเป็นสปอร์ตไบค์ที่ครบเครื่องทั้งซิ่งทั้งเดินทาง

ขุมพลัง

       เครื่องยนต์V4 แบบ 65 องศาของทางค่ายนั้นเคลมมาว่ามี 201 แรงม้าซึ่งยังคงเป็นตัวเลขเดิมเท่ากับโมเดลก่อน แต่เป็นตัวเลขที่ผ่านเกณฑ์ Euro 4 ที่ทางยุโรปบังคับใช้กับรถรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาวางขาย ซึ่งบอกเป็นนัยๆ ว่าก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ยังคงแรงอยู่ได้ แม้จะไม่เพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ลดลง ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนภายในเครื่องยนต์ใหม่ ซึ่งก็มีการใช้ลูกสูบใหม่ที่น้ำหนักเบาลง ก้านสูบที่มีการเคลือบลดแรงเสียดทานใหม่ ปรับเปลี่ยนสปริงวาล์ว เพิ่มเรดไลน์ให้มากขึ้นอีก 300 รอบผ่าน ECUใหม่

       ซึ่งทาง SuperBike ก็ได้ทำการทดสอบด้วยการขึ้นไดโนกับทาง Raceline Superbike พันธมิตรของทางเรา ก็ค้นพบว่ามันมีแรงม้าลงมาที่ล้อหลังมากถึง 192 แรงม้า เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับที่เคลมมามากเลยทีเดียว ส่วนความเร็วสูงสุดหรือท็อปสปีดที่ทำได้คือ 320 กม./ชม. ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นรถที่ไม่ตันที่ 299 เหมือนกับค่ายอื่นๆ ที่ติดเงื่อนไขข้อตกลง Gentlemen’s Agreement จึงเป็นรถที่เหมาะกับการใช้งานในสนามเป็นอย่างยิ่ง

ไฮเทค

      วิศวกรของทางค่ายตั้งเป้าหมายในการพัฒนา RSV4 ของตัวเองไว้ว่า จะต้องเป็นรถซูเปอร์ไบค์ที่เร็วที่สุดในคลาส และเพื่อการนั้นทางวิศวกรจึงต้องดึงเอาเทคโนโลยีจาก Aprilia Racing หรือแผนกเรซซิ่งของทางค่ายมายัดใส่ไว้ในเจ้า อาพริเลีย คันนี้ แผนกที่เคยทำรถแข่งจนคว้าแชมป์รายการต่างๆ มามากถึง 54 สมัย ซึ่งการันตีให้ผู้ใช้ได้มั่นใจในความทันสมัยและไว้วางใจได้ในประสิทธิภาพได้อย่างแน่นอน และในเรื่องของเทคโนโลยีเนี่ยก็เป็นจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงมากที่สุดสำหรับโมเดล 2017 นี้ ซึ่งก็คือระบบ APRC (Aprilia Performance Ride Control) ซึ่งเป็นชื่อเรียกรวมๆ ของระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้การขับขี่และควบคุมรถได้ดีขึ้น ซึ่งก็จะประกอบไปด้วย Aprilia Traction Control (ATC) หรือแทร็คชั่นคอนโทรล Aprilia Wheelie Control (AWC) หรือระบบกันยกล้อ Aprilia Launch Control (ALC) หรือระบบช่วยออกตัว Aprilia Quick Shift (AQS) หรือควิกชิฟเตอร์ Aprilia Pit Limitier (APL) หรือระบบช่วยควบคุมความเร็วในพิทเลน และ Aprilia Cruise Control (ACC) หรือครูซคอนโทรล เรียกได้ว่าครบครัน เลือกใช้ได้ตามสะดวก ช่วยให้คุณขับขี่ได้ง่ายยิ่งขึ้นไม่ว่าจะในสนาม หรือบนท้องถนนทั่วไป ตัวรถนั้นมีเซ็นเซอร์ต่างๆ มากมายกระทั่งเวลาเราเบรคก็จะมีบอกว่าใช้เบรคหนักมากน้อยแค่ไหนอีกด้วย มีระบบบันทึกข้อมูลการขับขี่อิงกับสนามที่เราไปขับขี่อีกด้วย เรียกได้ว่าเหมาะสำหรับสิงห์สนามที่ต้องการฝึกซ้อมและพัฒนาการขับขี่ในสนามของตัวเองให้ดีขึ้น จากการบันทึกข้อมูลต่างๆ ของตัวรถ ความเร็ว เวลา การเร่ง การเบรค ต่างๆ ช่วยให้วิเคราะห์หาจุดอ่อนในจุดต่างๆ ของแต่ละจุดของสนามได้ดีเหมือนมีไกด์ส่วนตัว

       เดิมทีโมเดลเก่าก็มีนั่นแหละครับ แต่ระบบต่างได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ด้วยการปรับย้ายตำแหน่งของเซ็นเซอร์ใหม่ทำให้ประมวลผลได้แม่นยำมากขึ้น ระบบกันยกล้อก็สามารถปรับค่าต่างๆ ได้โดยไม่ปิดคันเร่ง ขี่ไปปรับได้เลย ส่วนครูซคอนโทรลนั้นถูกเพิ่มเข้ามาให้คุณขับขี่บนท้องถนนได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ระบบเบรค ABS ก็เป็นแบบ Cornering ABS เป็นของพื้นฐานติดรถมาเลยไม่ต้องอัพเกรดเพิ่มเติม ทำงานร่วมกับระบบป้องกันล้อหลังลอยตัวได้เป็นอย่างดี สามารถปรับได้ 3 ระดับและปิดการทำงานได้ โหมดการขับขี่ก็มี 3 โหมดเช่นกันคือ Sport, Track และ Race ตามประเภทการขับขี่เลย ระบบคันเร่งไฟฟ้าใหม่มีน้ำหนักเบาลงกว่าเดิมช่วยให้คุณควบคุมสั่งงานเครื่องยนต์ได้ดั่งใจ

ช่วงล่าง

Brembo Aprilia RSV4 RF

       ช่วงล่างก็อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นคือจัดเต็มทั้งด้านหน้าและด้านหลังโช้ครุ่นล่าสุดของทาง Ohlins ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในแบบของเรซซิ่งด้วย รวมไปถึงกันสะบัด Ohlins ด้วย ค่าที่ปรับเซ็ตมานั้นถือว่าแข็งกว่าโช้คของ RR พอสมควร ซึ่งก๋เป็นเพราะการขับขี่ในสนามนั้นจะเซ็ตโช้คไว้แข็งเป็นปกติอยู่แล้ว เพื่อลดการเสียอาการเวลาเร่งความเร็วหรือเบรคหนักๆ นอกจากนี้ยังสามารถปรับจุดหมุนของสวิงอาร์มเพื่อเพิ่มหรือลดระยะฐานล้อของตัวรถซึ่งมีผลต่อการควบคุมตัวรถอีกด้วย ซึ่งตรงนี้ต้องมีความชำนาญในระดับนึง ไม่แนะนำสำหรับมือใหม่ ส่วนระบบเบรคก็จัดเต็มให้สอดคล้องกับกำลังความแรงที่มหาศาลของเจ้า RSV4 RF ด้วยชุดระบบเบรค Brembo โดยด้านหน้าเป็น Brembo M50 โมโนบล็อก พร้อมกับจานเบรคหน้าที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 10 มม. และหนาขึ้น 5 มม.สอดคล้องกับความเร็วและกำลังเครื่องยนต์ที่มหาศาลของรถ ยางที่ให้มาก็จัดหนักเป็น Pirelli Diablo Supercorsa SP V2ที่ให้การยึดเกาะดีเยี่ยมสามารถใช้ขี่ในสนามได้สบายๆ

Ohlins Aprilia RSV4 RF

ฟันธง

       จากการขับขี่ในสนามเกือบทั้งวันเนี่ย ผมคิดว่าคันเร่งไฟฟ้าที่ให้มาเนี่ย ทำให้ควบคุมรถได้ง่าย ได้ดั่งใจ ไม่มีรอรอบหรือดีเลย์อะไร กำลังเครื่องยนต์ถ่ายทอดออกมาได้สมู้ท ตัวรถยังมีควิกชิฟเตอร์แบบ 2 ทาง ช่วยให้เข้าเกียร์ได้แม้ไม่ต้องกำคลัทช์ มันจึงใช้งานได้ง่าย แม้แต่มือใหม่ (แต่หากไม่เคยชินกับตัวพันอาจจะมีปัญหาเรื่องความแรงได้) ระบบต่างๆ ที่ให้มานั้นใช้งานได้จริง มีประโยชน์ในการขับขี่ ขี่ถนนนี่แทบไม่ต้องปรับเซ็ตอะไรมาก แต่หากขับขี่ในสนามเนี่ยต้องมีการปรับเซ็ตอยู่แล้ว ต้องปรับให้สอดคล้องกับน้ำหนักและสไตล์ของเจ้าของรถ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่มีมาให้นั้นใช้งานง่าย ทั้งใช้งานในสนามหรือใช้งานบนท้องถนน มีมาแบบจัดเต็มช่วยทั้งในเรื่องความสะดวกสบาย การขับขี่และความปลอดภัย ระบบกันสะเทือนและรระบบเบรคที่ให้มาก็เป็นที่สุดของโมเดลตัวพันระดับนี้อยู่แล้ว เรียกได้ว่าเอาอยู่เพียงพอ ส่วนเรื่องความหล่ออันนี้ก็บอกได้เลยว่าดีไซน์มาได้หล่อลงตัว ดูกะทัดรัด ท่อเดิมก็ไม่เลวร้ายอะไร แต่ถ้าเปลี่ยนก็ยิ่งเพิ่มความหล่อ โดยรวมถือว่าคุ้มค่ากับค่าตัว ถือว่าสุดในรถรุ่นตัวพันโปรดักชั่นก็ไม่ผิดนัก จัดว่าเหมาะกับคนที่ชื่นชอบความเร็ว ชอบสไตล์และความงามในแบบอิตาเลียน โดยไม่เกี่ยงว่าต้องเป็นมือเก๋าหรือมือใหม่ครับ แต่ไม่เหมาะกับคนมีภรรยาหรือคนซ้อน เพราะรถจะไม่สามารถแสดงสมรรถนะได้อย่างเต็มที่ครับ

จัดว่าสุดมาตั้งแต่ออกจากโรงงานแล้ว

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม คลิกทีนี้ 
ติดตามข่าวสาร Facebook คลิกทีนี้ 

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

Exit mobile version