Home Ducati 2025 Ducati Panigale V4 ตัวซิ่งอาร์มคู่ เผยโฉมแล้ว

2025 Ducati Panigale V4 ตัวซิ่งอาร์มคู่ เผยโฉมแล้ว

0

2025 Ducati Panigale V4 ตัวซิ่งอาร์มคู่ เผยโฉมแล้ว

รุ่น V4 2025

ของอร่อยพร้อมเสริฟ์ให้กับเหล่าสาวกดูคาทิสต้าทั่วโลกแล้ว กับโมเดลระดับซูเปอร์ไบค์โฉมใหม่ล่าสุดกับ 2025 Ducati Panigale V4 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่คลอดมาพร้อมกับรุ่นเวอร์ชันอัปเกรดอย่างเจ้า V4S (สามารถอ่านบทความ Panigale V4S 2025 ได้ คลิ๊กที่นี่) กับสมรรถนะตัวรถที่ถอด DNA มาจากตัวแข่งที่คว้าแชมป์โลก Superbike World Championship มาแล้ว 2 สมัยซ้อน

ดีไซน์ใหม่ เพิ่มความแอโรไดนามิก

โดยเจ้า Panigale V4 รุ่นล่าสุด มาพร้อมกับการออกแบบผ่านแนวคิดที่จะผสมผสานขีดความสามารถรถซูเปอร์ไบค์ทั้งในแง่ของการออกแบบ ข้อมูลทางเทคนิคและหลักสรีรศาสตร์ สู่การเพอร์ฟอร์มานซ์อันยอดเยี่ยมอย่างที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน ผ่านการควบคุมใช้งานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างเหนือชั้น

ตามเป้าหมายเพื่อที่จะอยู่จุดสูงสุดของระดับการแข่งขัน ทางค่ายจึงตั้งใจที่จะรังสรรค์สุดยอดโมเดลมาเพื่อให้เหล่าผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับฟีลลิ่งอย่างเหนือระดับ ด้วยแฟริ่งดีไซน์ใหม่ช่วยลดแรงต้านอากาศได้ถึง 4% พร้อมวิงก์เลตชิ้นใหม่จับคู่กับแฟริ่งด้านหน้าอย่างลงตัว ในขณะที่ด้านข้างออกแบบดีไซน์ใหม่เช่นเดียวกัน และยังคงให้ความสปอร์ต โฉบเฉี่ยวและค่อนข้างเพรียวบางกว่ารุ่นก่อน ๆ อย่างชัดเจน 

นอกเหนือในเรื่องรูปลักษณ์การดีไซน์แล้ว ยังคงมีจุดสำคัญอื่น ๆ อาทิ ไฟหน้าดีไซน์ใหม่ ชิลด์หน้าออกแบบใหม่ ถังน้ำมันดีไซน์ใหม่ขนาด 17 ลิตร ติดช่องเก็บของมาให้บริเวณด้านหน้า บังโคลน หลังอานชิ้นเดียว ท้ายตูดมด ซึ่งโดยรวมแล้วการดีไซน์ดังกล่าวยังคงได้รับแรงบันดาลใจมาจากโมเดลซูเปอร์ไบค์ในตำนานอย่าง ดูคาติ 916 นั่นเอง 

พร้อมทั้งในเรื่องของโพซิชั่นท่านั่งการขับขี่ให้ดูมีความเรซซิ่งมากยิ่งขึ้น มีการเว้าถังน้ำมันด้านข้าง ทำให้ผู้ขับขี่สามารถนั่งเข่าชิดถังน้ำมันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงปรับตำแหน่งพักเท้าใหม่เข้ามาในระยะ 10 มม. ซึ่งจะทำให้ช่วงขาหนีบกับตัวถังมากขึ้นและช่วยลดแรงต้านอากาศในขณะขับขี่อีกด้วย

เครื่องยนต์ Desmosedici Stradale V4 แรงเหนือระดับ

เครื่องยนต์ Desmosedici Stradale 90° V4

เติมเต็มสมรรถนะกับเพิ่มขีดความสามารถระดับสูงสุด กับสมรรถนะที่ทรงพลังและเบากว่ารุ่นก่อน ๆ กับเครื่องยนต์ Desmosedici Stradale 90° V4 ขนาด 1,103 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ใช้ระบบวาล์ว Desmodromic  4 วาล์วต่อลูกสูบ พร้อมกับโปรไฟล์ของแคมป์ชาร์ฟที่ได้รับการออกแบบใหม่ยกสูงขึ้น ส่งผลให้การเปิดวาล์วนานขึ้น

โดยให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 216 แรงม้าที่ 13,500 รอบต่อนาที มาพร้อมแรงบิดสูงสุด 120.9 นิวตันเมตรที่ 11,250 รอบต่อนาที และสามารถรีดกำลังแรงม้าได้มากถึง 228 แรงม้า ถ้าหากโมดิฟายโดยเฉพาะท่อแต่ง Akrapovic ตามที่ทางค่ายได้เคลมมา ผ่านระบบขับเคลื่อนด้วยเกียร์ 6 สปีด ควิกชิฟเตอร์ 2 ทาง ระบบคันเร่งไฟฟ้า และท่อไอเสียที่ให้ซุ้มเสียงคำรามแบบเดียวกันกับตัวแข่ง Motogp อย่าง Desmosedici GP 

นอกจากนี้ในเรื่องของหม้อน้ำยังคงได้รับการปรับปรุงมาเช่นเดียวกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนเพิ่มขึ้น 17% แถมยังผ่านค่ามาตรฐานไอเสีย EURO5+ อีกด้วย

ช่วงล่างกับสวิงอาร์มคู่ และยางสายฟ้า
Pirelli Diablo Supercorsa SP-V4

ในขณะที่ระบบช่วงล่างโช้คหน้าให้มาเป็นรุ่น Showa SPF แบบหัวกลับขนาด 43 มม.ปรับแต่งได้เต็มระบบทั้งพรีโหลด รีบาวด์และคอมเพรสชัน ส่วนด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยวจาก Sach ปรับแต่งได้เต็มระบบให้เข้ากับสภาพการใช้งานได้เช่นกัน (ต่างจากรุ่น V4S ที่ให้โช้ครุ่น Ohlins ติดตั้งมาให้) *และสิ่งหนึ่งที่พิเศษที่ทางค่ายนั้นติดตั้งมาให้นั่นก็คือ สวิงอาร์มคู่ เป็นพื้นฐานเดียวกันกับรุ่น V4S* ต่อด้วยระบบเบรกกับดับเบิ้ลดิสก์เบรกหน้าขนาด 330 มม. พ่วงด้วยคาลิเปอร์เบรก Brembo Monobloc Hypure ขนาด 4 ลูกสูบ ด้านหลังเป็นดิส์กเบรกเดี่ยวขนาด 245 มม. คาลิเปอร์ 2 พอต 

พร้อมติดตั้งระบบเบรกใหม่ก็คือ Race eCBS ซึ่งเป็นระบบเบรกที่ถูกพัฒนาร่วมกันระหว่าง Ducati กับ Bosch สามารถปรับแต่งเบรกได้ตามสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือเข้าโค้ง โดยมีฟังก์ชันการกระจายแรงเบรกเพื่อไม่ให้เบรกข้างใดข้างหนึ่งทำงานหนักจนเกินไป และลดการเสียสมดุลของตัวรถให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมได้ง่ายมากยิ่งขึ้น) 

ต่อด้วยล้ออัลลอยด์ดีไซน์ 5 ก้านคู่ และรัดยางสายฟ้า Pirelli Diablo Supercorsa SP-V4 ขนาด 120/70-R17 และ 200/60-R17 โดยเคลมน้ำหนักรวมมาที่ 191 กก.

เทคโนโลยีอัดแน่น

เริ่มด้วยหน้าจอสี TFT ขนาด 6.9 นิ้ว พร้อมอัตราส่วนหน้าจอที่ 8:3 ให้ขนาดกว้างชัดและสามารถอ่านได้ง่ายมากขึ้น โหมดการขับขี่ต่าง ๆ ทั้ง Power Mode ระบบอิเล็กทรอนิกส์ Ducati Vehicle Observer เป็นระบบการจัดการระบบการทำงานต่าง ๆ ด้วยข้อมูลจากเซ็นเซอร์ในตัวรถกว่า 70 ตัว ระบบแทร็คชันคอนโทรล ระบบป้องกันล้อหน้าลอย เอ็นจิ้นเบรกคอนโทรล ระบบสไลด์คอนโทรล และระบบไฟฉุกเฉินเมื่อเบรกกระทันหัน ควบคู่กับโหมดการขับขี่ต่าง ๆ อาทิ Road, Sport, Wet, Race A และ Race B (Tracking)

สำหรับราคานั้นเปิดตัวอยู่ที่ 27,790 ยูโร หรือตีเป็นเงินไทยราว ๆ ล้านนิด ๆ (ยังไม่รวมภาษี) หากนำเข้าไทยอาจมีถึงล้านปลาย ๆ ก็เป็นไปได้ แต่สำหรับในเรื่องของสวิงอาร์มที่ปรับมาใหม่นั่นก็แล้วแต่ความถูกใจของแต่ละคนละนะ..

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

Exit mobile version