Home New Bike 2025 Can-am Origin ออฟโร้ดไฟฟ้าในราคา 4 แสน มีอะไรบ้าง ?

2025 Can-am Origin ออฟโร้ดไฟฟ้าในราคา 4 แสน มีอะไรบ้าง ?

0

2025 Can-am Origin ออฟโร้ดไฟฟ้าในราคา 4 แสน มีอะไรบ้าง ?

เปลี่ยนโหมดจากรูทเส้นทางขับขี่ในเมือง เข้าสู่ Map แห่งโลกของการผจญภัยไปกับ New Can-am Origin อีกหนึ่งโมเดลพลังงานไฟฟ้าจากสัญชาติแคนนาดา ที่เปิดตัวมาพร้อมกับเจ้า Can-am Pulse พร้อมให้ผู้ขับขี่ได้เพลิดเพลินไปกับเส้นทางทางฝุ่นได้เต็มพิกัด 

DESIGN

2025 Can-am Origin

ด้วยลักษณะการดีไซน์ยังคงออกแบบให้ดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และปรับแต่งให้เข้ากับสไตล์การขับขี่ ให้ผู้ขับขี่สามารถฝ่าเส้นทางอุปสรรคได้อย่างแม่นยำ กับมิติตัวรถทรงสูงเพียว แฮนด์ยกสูง ยกระดับกราวด์เคลียแรนท์ขึ้นมาเป็นขนาด 274 มม. ส่งผลให้ตัวเบาะดูสูงขึ้น และสวมล้อแบบซี่ลวดและยางหนาม โดยมีขนาด 90/90R21 และ 120/80R18 ตามลำดับ ตรงคอนเซ็ปต์ในแบบรถแอดเวนเจอร์สำหรับสายลุยโดยเฉพาะ 

ลวดลายสะท้อนความเป็นตำนานของตัวแข่งเอ็นดูรานซ์ในปี 1973

Can-Am ตัวแข่งเอ็นดูรานซ์ โฉมแรกในปี 1973

นอกจากนี้ยังประดับความสวยงามให้สมกับเป็นคุณลุงสายลุย แถมยังมีกลิ่นอายของความเป็นตัวแข่งเอ็นดูรานซ์ในตำนานเมื่อ 50 ปีก่อน ด้วยทรวดทรงไฟหน้า LED แบบเดียวกับโฉมเน็กเก็ด ออกแบบบอดี้ตัวถังไว้สำหรับใส่ช่องเก็บของพร้อมพอร์ตชาร์จไฟ USB ทั้งยังใส่โลโก้ประจำค่ายที่ตัวถังด้านข้าง และพิเศษกับลายกราฟิก และชิลด์หน้าสีสโมคสำหรับตัวแต่งในรุ่น Origin ‘73 

ขุมพลัง Rotax E-Power

รุ่น Origin ’73

ในเรื่องของขุมพลัง ยังคงใช้พื้นฐานเดียวกันเจ้า Pulse ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Rotax E-Power ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว ให้พละกำลัง 47 แรงม้า แรงบิด 72 นิวตันเมตร เคลมอัตราเร่งจาก 0-100 ม.ที่ 4.3 วินาที โดยใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดความจุ 8.9 kWH สามารถวิ่งไกลสุด 144 กม. สำหรับขับขี่ในเมือง และ 114 กม. สำหรับการขับขี่ผจญภัย ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ทั้งยังรองรับการชาร์จแบบ 2 ระดับ สำหรับการชาร์จระดับ 2 (เครื่องชาร์จออนบอร์ด) ใช้เวลาเพียง 1 ชม. 30 นาที และการชาร์จระดับ 1 (ชาร์จทั่วไป บ้าน/ที่พักอาศัย) ใช้เวลา 5 ชม. 15 นาที 

ช่วงล่างที่แตกต่าง

ขณะที่ระบบช่วงล่างออกแบบแตกต่างไปจากเจ้าโฉมเน็กเก็ด ด้วยโช้คหน้า KYB ขนาดแกน 43 นิ้ว โช้คหลัง KYB HPG ปรับได้ทั้งพรีโหลด รีบาวด์และคอมเพรสชันโดยทำงานร่วมกับสวิงอาร์มเดี่ยวที่เป็นชุดขับเคลื่อนจากตัวมอเตอร์ไปยังล้อหลัง สำหรับเรื่องของเบรกด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 320 มม. ใส่คาลิเปอร์ 2 ลูกสูบ ด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวเช่นเดียวกัน ให้ขนาดมาที่ 240 มม.คาลิเปอร์ลูกสูบเดียว จากแบรนด์ J.Juan พร้อมด้วยระบบ ABS Dual Channel 

โหมดขับขี่ 6 โหมด (เพิ่มโหมด OFF-Road ให้ใช้งาน)

หน้าจอ Display ขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมโหมดการขับขี่ 6 โหมดให้ใช้งาน

รองรับด้วยโหมดการขับขี่มากถึง 6 โหมดด้วยกัน ประกอบไปด้วย Normal, Eco, Rain, Sport, Off-Road และ Off-Road+  ซึ่งถือว่ามีโหมดเข้ามาเพิ่มเติม เสริมความสนุกและรองรับการขับขี่ทางฝุ่นโดยเฉพาะนอกจากนี้ยังติดตั้งจอทัสกรีนขนาด 10.25 นิ้วสามารถเชื่อมต่อข้อมูลผ่าน Apple CarPlay และ BRP Connect สามารถฟังเพลงและรับสายโทรศัพท์รวมถึงฟังก์ชันอื่น ๆ อีกมากมาย โดยรวมตัวรถมีน้ำหนักอยู่ที่ 187 กก.

โดยเปิดให้พรีออเดอร์แล้ว 2 รุ่น สำหรับรุ่น Standard มีจำหน่ายด้วยกัน 2 สีได้แก่ สีขาวและสีดำ-เทา สนนราคาที่ 14,499 ดอลล่าร์แคนาดา (3.6 แสนบาท) และรุ่นแต่ง Origin ‘73 มีจำหน่ายสีเดียวได้แก่ สีเทา สนนราคาอยู่ที่ 16,499 ดอลล่าร์หรือประมาณ 4.1 แสนบาท *ราคายังไม่รวมภาษีนำเข้าและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ* นับว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจ ถ้าหานำเข้ามาขายในไทยราคาคงกระโดดขึ้นไปหลายบาทเลยทีเดียว แล้วถ้าหากเข้ามาจริง ๆ เพื่อน ๆ คิดว่าไงกันครับ..

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

Exit mobile version