Home รีวิวและทดสอบ รีวิว Tiger 900 Rally Pro สายลุยไซส์กลางระดับท็อปคลาส

รีวิว Tiger 900 Rally Pro สายลุยไซส์กลางระดับท็อปคลาส

0

 รีวิว Tiger 900 Rally Pro สายลุยไซส์กลางระดับท็อปคลาส

ทดสอบไปพร้อม ๆ กันซึ่งนอกจากรุ่น Tiger 900 GT Pro ที่ทำการทดสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกหนึ่งรุ่นที่แอดมินจะทำการทดสอบก็คือ รีวิว Tiger 900 Rally Pro แอดเวนเจอร์ไบค์ไซส์กลาง มาพร้อมสเปกระดับชั้นนำของคลาส และดึง DNA สายพันธุ์มาจากตัวแข่งของตระกูล Tiger ที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับทางค่ายด้วยชัยชนะในการแข่งขันแรลลีนานาชาติ ที่ให้สมรรถนะการขับขี่อันยอดเยี่ยมแก่เหล่านักผจญภัยอย่างแท้จริง 

ด้วยรูปลักษณ์การออกแบบนั้นถูกปรับปรุงมาใหม่ ถ้าหากเทียบกับเจ้าแรลลี่ โปรโฉมปี 2020 เราจะได้เห็นถึงความแตกต่างถูกพัฒนาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น เริ่มที่ตัวแฟริ่งถูกออกแบบใหม่ เพิ่มพื้นที่แอร์เวย์ไหลเวียนอากาศผ่านตัวรถได้ดีขึ้น พร้อมถังน้ำมันทรวดทรงอวบอึ๋มขนาด 20 ลิตร ประดับไฟหน้าคู่ ไฟในส่วนต่าง ๆ ของตัวรถที่เป็นแบบ LED ขณะที่โซนกลางออกแบบให้เพรียวบางด้วยเบาะ 2 ตอน และบั้นท้ายรัดรูปใส่มือจับคนซ้อนขนาดใหญ่รองรับการติดตั้งกล่องด้านท้ายมาให้สวยงาม 

รวมถึงเฉดสีออกแบบมาใหม่ตัดแนวขนานกับเส้นสาย และยังคงยึดเอกลักษณ์ความเป็นสายลุยผู้ดีด้วยโลโก้แบรนด์และชื่อรุ่นประดับสวยงามเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากเฉดสีและลายกราฟิกของตัวรถแล้ว มิติรูปลักษณ์และขนาดของเจ้าแรลลีโปรโฉมรุ่นนี้ยังถูกออกแบบให้มีขนาดความสูงเพิ่มขึ้นหากเทียบกับเจ้าฝาแฝดคนน้อง ด้วยการยกกราวด์เคลียแรนซ์สูงขึ้นเพื่อรองรับการขับขี่ทางฝุ่นได้อย่างเต็มพิกัด

นอกเหนือจากนี้ ยังติดตัวแครชบาร์กันล้มและอกล่างครอบแคร้งเครื่องยนต์และการ์ดแฮนด์ช่วยป้องกันลม กันหินดีดในขณะขับขี่ ประกอบกับส่วนอื่น ๆ ยังคงยึดแบบเดียวกันทั้งหน้าจอสี TFT ขนาด 7 นิ้วขนาดใหญ่ โดยสามารถเชื่อมข้อมูลในแอปพลิเคชัน My Triumph ผ่านระบบบลูทูธ ช่องเสียบ USB Type A มาให้ 2 จุดทั้งบริเวณด้านข้างหน้าจอและใต้เบาะ ท่อไอเสียสแตนเลสแบบ 3 ออก 1 จัดองศาปลายท่อแบบบยกสูง และรองรับน้ำหนักเครื่องด้วยเฟรมแบบโครงเหล็กที่มีความแข็งแรงและทนทานนั่นเอง

เครื่องยนต์แรงขึ้น ประหยัดขึ้น

ในด้านขุมพลังเป็นแบบ 3 สูบเรียง 12 วาล์วขนาด 888 ซีซี ระบายความร้อนด้วยของเหลว ใช้เพลาข้อเหวี่ยงแบบ T-Plane ระบบจ่ายน้ำมันหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเกียร์แบบ 6 สปีด มีควิกชิฟเตอร์ Up-Down และแอสซิสต์สลิปเปอร์คลัตช์ให้ใช้ สามารถเชนเกียร์โดยไม่ต้องกำคลัตช์ โดยให้พละกำลังแรงม้าสูงสุดที่ 108 แรงม้าที่ 9,500 รอบ แรงบิดสูงสุดที่ 90 นิวตันเมตรที่ 6,850 รอบ พร้อมเคลมการประหยัดน้ำมันที่ 21 กม./ลิตร หรือเต็มถัง สามารถวิ่งไปได้ไกลถึง 425 กม.และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยระบบไอเสียที่ผ่านค่ามาตรฐาน Euro5+

ช่วงล่างแน่น

สิ่งที่เป็นความแตกต่างจนสามารถจำแนกได้ว่ารุ่นไหนเหมาะกับทางดำหรือทางฝุ่น ก็คือระบบช่วงล่างนี่แหล่ะครับ โดยตัวโช้คของรุ่นนี้เป็นของแบรนด์ Showa ที่เราคุ้นเคย ซึ่งด้านหน้าเป็นแบบหัวกลับ มีขนาดแกน 45 มม. พร้อมระยะยุบที่ 240 มม. ด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยว มีระยะยุบตัวที่ 230 มม.

สามารถปรับค่าพรีโหลดได้ทั้งสองด้าน ต่างจากเจ้าจีทีโปรที่สามารถปรับไฟฟ้าได้ ส่วนระบบเบรกด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกคู่ขนาด 320 มม. คาลิเปอร์โมโนบล็อก Brembo Stylema 4 ลูกสูบ เบรกหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวมีขนาด 255 มม.คาลิเปอร์ลูกสูบเดียว ขณะที่ล้อใช้แบบซี่ลวดและยางที่ติดมาให้มีขนาด 90/90-21 และ 150/70-17 เคลมน้ำหนักมาที่ 228 กก.

เทคโนโลยีครบครัน 

สำหรับเทคโนโลยีที่ติดมากับตัวรถก็ถือว่าครบครัน ทันสมัย ตอบโจทย์เหล่าสายลุยทั้งความปลอดภัยด้วยระบบ Cornering ABS แทร็คชันคอนโทรล เปิด-ปิดได้ตามการใช้งาน ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง ไฟเตือนฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน ไฟมาร์กเกอร์ความสว่างสูง

พร้อมทั้งลูกเล่นให้ใช้งานอย่างโหมดการขับขี่ถึง 6 โหมด Road, Rain, Sport, Rider, Off-Road Beginner และ Off-Road Pro ระบบครูซคอนโทรลและคันเร่งไฟฟ้า รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะช่วยเข้ามาเติมเต็มในการขับขี่ก็คือ อุ่นมือ อุ่นเบาะ และระบบที่กล่าวไปในย่อหน้าข้างต้นทั้ง ไฟ LED, หน้าจอสี TFT และ USB Type A ให้ใช้งานนั่นเอง  

ถึงแม้สเปกเดียวกัน แต่ให้คาแรคเตอร์ที่ต่างกัน

มาถึงคราวทดสอบฟีลลิ่งกันต่อเนื่องซึ่งหลังคร่อมเจ้าเสือสาวทรงสง่าแล้ว เปลี่ยนมาคร่อมเสือคนพี่บ้าง อย่างแรกที่รู้สึกเลยก็คือ ตัวรถมันดูสูงขึ้น หน้าเชิดขึ้นอาจเพราะด้วยไซส์ขนาดของล้อและยางใหม่ บวกกับกราวด์เคลียแรนซ์ที่สูงขึ้น รวมถึงระยะแฮนด์ที่มีความกว้างกว่าอีกรุ่น แต่จริง ๆ มันปรับองศาได้ถึง 15 มม.ตามความชอบ โดยความสูงและความกว้างที่กล่าวมาก็ไม่เยอะมากมายอะไร ก็กล้าการันตีได้ว่า ส่วนสูงที่ 175 ซม.ของคนขี่ ยังไงขาก็ยังเหยียบถึงพื้น หากใครที่มีส่วนสูงน้อยกว่าซัก 10 ซม. คงต้องหารองเท้าทัวร์ริ่งหรือแอดเวนเจอร์มาใส่ซึ่งน่าจะช่วยในส่วนนี้ได้ และยังคงให้การบาลานซ์ได้ดีโดยเฉพาะขับขี่ในทางฝุ่น ส่วนนี้คอนโทรลได้ไม่ยาก แต่ท่ายืนขี่..ต้องฝึก

สำหรับท่านั่งขับขี่ก็คงคล้ายคลึงไปตาม ๆ กัน เข่าติดถัง หลังตรง นั่งเต็มก้น แขนกางเล็กน้อย รวมถึงระยะเบาะถึงแฮนด์ไม่ห่างกันมาก ต่อด้วยมุมมองขับขี่ ชิลด์ไม่บังตา หน้าจออ่านค่าได้ง่าย อาจมีดีเลย์เล็กน้อยในระหว่างการใช้งาน (ต้องลองใช้ไปซักพัก) กระจกข้างมองด้านหลังสะดวก 

เครื่องยนต์สามสูบเรียง..สุดเร้าใจ

ในเรื่องของพละกำลังเครื่องยนต์ในช่วงรอบต้นถือว่าจัดจ้าน กระชากคันเร่งก็สามารถทำให้หน้าลอยได้ทันที และในช่วงรอบกลางที่สามารถบิดเร่งแซงได้ดั่งใจ แต่ในช่วงรอบปลายถือว่าไหลแต่ก็ไม่ได้ไหลมากจนเกินไป ถ้าใช้ความเร็วสูง ๆ ซัก 100 – 180 กม./ชม ถือว่าเอาเรื่องพอสมควร และท็อปสปีดที่ใช้ไปอยู่ที่ 200 กว่า ถือว่าค่อนข้างโอเคในพิกัดนี้ แต่อย่างว่า รถแนวเดินทางลุย ๆ ไม่ใช่รถที่ต้องมาทำความเร็วในรอบปลายสูง แต่อัตราเร่ง แรงบิดดีแบบตกใจ แถมมีโหมดขับขี่ให้เลือกใช้ ก็ถือว่าตอบโจทย์แล้ว

นุ่มนวลในแบบสายลุย

หัวใจหลักที่ทำนิสัยค่อนข้างแตกต่างกันก็คงเป็นในเรื่องของระบบช่วงล่างนี่แหล่ะครับ ด้วยระยะยุบที่ให้มากถึง 240 มม. บวกกับล้อหน้าขนาดใหญ่ ทำให้ตอบโจทย์แก่การขับขี่ทางฝุ่นหรือฝ่าเส้นทางอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างสนุกแน่นอน แถมยังรองรับสายลุยทั้งมือใหม่ มือเก๋าด้วยโหมดขับขี่ Off-Road หรือจะเน้นไปทางใช้งานขับขี่บนทางดำก็สามารถปรับพรีโหลดสปริงโช้คได้ แต่รุ่นนี้ต้องปรับมืออย่างเดียวเท่านั้น 

เบรกหนึบ มั่นใจในเรื่องของระบบเบรกตัวรถถือว่าทดสอบแล้วค่อนข้างโอเค เบรกให้มาได้ดีทีเดียว แถมยังมีระบบ Cornering ABS ที่ช่วยเบรกในทางโค้ง มีระบบแทร็คชันคอนโทรลที่คอยตรวจจับการทำงานของล้ออย่างแม่นยำ จึงมั่นใจได้ว่าตัวรถจะช่วยให้ผู้ขับขี่ปลอดภัย ถ้าไม่ขับขี่ผาดโผนโลดแล่นจนเกินหน้าเกินตาไปหน่อย

คะแนนสำหรับรีวิวการทดสอบ
Design : 9/10 ดูดี มีสไตล์ สเปคสาวสวยตามฉบับ ไทรอัมพ์ ติดนิดเดียวในเรื่องของกุญแจที่น่าจะเป็น กุญแจคีย์เลส
Ergonomic : 8/10 ท่านั่งขับขี่สบาย หลังตรง ยืนขี่ได้สบาย ติดแค่แฮนด์ที่รู้สึกกว้างตามพิกัดตัวรถ
Engine : 8.5/10 อัตราเร่งดี ตอบสนองแรงบิดได้ดั่งใจ
Suspension : 9/10  นุ่มนวล เกินความคาดหมาย
Brake : 9/10 ระบบเบรกดี ของที่ให้มาคุ้มค่ามาก ๆ
Tyre : 8/10 เหมาะสมกับการใช้งาน
OVERALL : 8.5/10 ถือว่าทำออกมาได้ดี เหมาะสมกับการใช้งานไม่ว่าจะขี่ในเมือง ออกทริปหรือจะเข้าป่าลุยๆ ก็ใช้ได้ แต่ตัวรถเหมาะกับคนที่มีสกิลในระดับนึง
Ride or Upgrade : สำหรับสายแคมป์ปิ้งเดินทาง อาจแนะนำให้ติดแร็คท้าย ติดกล่อง หรือถ้าอยากเน้นขับขี่ทางลุยมากกว่านี้ แนะนำให้เปลี่ยนยางที่เพิ่มประสิทธิทางขับขี่ทางออฟโร้ดดูครับ

สีเทาส้ม
(Ash Gray/Intense Orangre)
สีขาว-ดำ
(Carbon Black/Sapphire Black)
สีเขียว-ดำ
(Matt Khaki Green/Matt Phatom Black)

สำหรับการจำหน่ายจะมีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเทาส้ม (Ash Gray/Intense Orangre), สีขาว-ดำ (Carbon Black/Sapphire Black) และสีเขียว-ดำ (Matt Khaki Green/Matt Phatom Black) เปิดราคาเริ่มต้นที่ 659,000 บาท พร้อมการบริการบำรุงรักษา 10,000 กม. หรือ 12 เดือน (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) โดยสามารถชมตัวจริงหรือไปทดสอบขับขี่ได้ที่ศูนย์บริการและตัวแทนจำหน่าย ไทร์อัมพ์ มอเตอร์ไซค์เคิลส์ ทุกสาขาทั่วประเทศ 

ก็สรุปนะครับกับ Tiger 900 Rally Pro ถือว่าเป็นโมเดลเน้นการออกแบบให้ขับขี่ทางฝุ่น และมีสมรรถนะตอบโจทย์ เครื่องยนต์ 3 สูบเรียงพิกัด 900 ซีซี  มีแรงทอร์ครอบต้นจัดจ้าน แรงปลายขับขี่สนุก ช่วงล่างนุ่มนวล เบรกดีเกินคาด เทคโนโลยีให้มาครบครันในพิกัดนี้

สำหรับใครที่กำลังมองหา โมเดลสายลุยในคลาสมิดเดิ้ลเวทไว้ใช้งานซักคัน สำหรับรุ่นนี้ก็ค่อนข้างที่ตอบโจทย์ มีระบบต่าง ๆ รองรับใช้งานครบครัน กับราคาค่าตัวเปิดตัวออกมาถือว่าไม่ต่างกันมากนัก และของแต่งที่ให้มาเรียกได้ว่าแทบไม่ต้องเสียเงินแต่งเพิ่มอย่างใด ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณทางไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ ที่ให้โอกาสได้ไป รีวิวและทดสอบในครั้งนี้ สำหรับโมเดลต่อไปจะเป็นรุ่นอะไรจากทางไทรอัมพ์ ก็อย่าลืมฝากติดตามข่าวสารจากทางซูเปอร์ไบค์ ไทยแลนด์ กันนะครับ

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

Exit mobile version