Home รีวิวและทดสอบ ทดสอบ BMW R1250GS Adventure เครื่องยนต์ Shiftcam แรงขึ้นกว่าเดิม

ทดสอบ BMW R1250GS Adventure เครื่องยนต์ Shiftcam แรงขึ้นกว่าเดิม

0

กลับมาอีกครั้งกับการ ทดสอบ BMW R1250GS และ BMW R1250GS Adventure ตัวใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวออกมาพร้อมกับเครื่องยนต์เทคโนโลยี Shift Cam และเมื่อไม่นานมานี้ ทางทีมงาน SuperBikemag.com ก็ได้มีโอกาสสัมผัสการขับขี่มันครั้งแรกในรอบสื่อมวลชน มารอดูกันครับว่าเป็นยังไง

โดยในครั้งนี้ เราได้รับเชิญจากทาง BMW Motorrad ให้มาเข้าร่วมทดสอบเจ้า BMW R1250GS มอเตอร์ไซค์ Adventure สมรรถนะสูงระดับตัว TOP กันที่สนาม Enduro park Thailand แห่งใหม่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีในการทดสอบครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยจะแบ่งเป็น ภายในสนามเอ็นดูโร่ พาร์ค และ ภายนอกบริเวณรอบๆ สนามที่เป็น ไร่มัน ไร่สับปะรด ภูเขา และ บ่อทราย

โดยช่วงเช้า เราได้รับการบรีฟจากทีมครูฝึก เอ็นดูโร่ พาร์คนำทีมโดย ครูไก๋ ครูเอก และทีมงาน เกี่ยวกับเส้นทางและผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์ ที่่ได้พูดถึงสมรรถนะเครื่องยนต์ตัวใหม่ที่เคลมออกมาจากโรงงานที่มีความแรงจากเทคโนโลยี Shift Cam ถึง 4 % ร่วมไปถึงได้รับเกียรติ ขับขี่กับปรมาจารย์ MR.GS นั้นก็คือ Tom Wolf ผู้ก่อตั้งและจัดการแข่งขัน GS Trophy จนถึงปัจจุบันนี้

สำหรับ BMW R1250GS และ BMW R1250GSA นั้นเป็นรถแอดเวนเจอร์ สมรรถนะสูงที่ถูกออกแบบมาเพื่อคนที่หลงไหลในการผจญภัยและการเดินทาง

รูปลักษณ์หน้าตา

ไฟหน้า LED มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตาและไม่เหมือนใคร และระบบไฟส่องสว่างเป็นแบบ Full LED ทั้งคัน

ล้อซี่ลวด หน้าหลัง แข็งแรง ทนทาน แบบ Tubeless มาพร้อมกับระบบดิสก์เบรกคู่จาก BMW

เดินทางไกลหายห่วงเพราะมีถังน้ำมันขนาดใหญ่ รุ่น GSA จะมีมาให้ 30 ลิตร ส่วนรุ่น ปกติจะมี 20 ลิตร  (ในภาพคือ GSA)

ความปลอดภัยทั้งคนและรถ แคชบาร์กันล้มจากโรงงาน พร้อมไฟสปอร์ตไลท์ส่องสว่าง

เบาะนั่ง 2 ตอนพร้อมกับแคชบาร์ด้านหลัง (ตัวจำหน่ายมีกล่องหลังอลูมิเนียม 3 ใบ)

หน้าจอเรือนไมล์แบบ TFT อัจฉริยะ บอกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ความเร็ว รอบเครื่องยนต์ โหมดการขับขี่ ความร้อนเครื่องยนต์ เวลา ทริป ความเฉลี่ย ไฟสถานะเครื่องยนต์

รวมถึงเทคโนโลยี BMW Connected ที่เชื่อมต่อกับ Smart Phone สามารถใช้ GPS นำทางเป็นระยะได้ ฟังเพลง และรับโทรศัทพ์ได้ แสดงผลบนหน้าจอ TFT 6.5 นิ้ว พร้อมกุญแจแบบ Keyless พกติดตัวได้ไม่ต้องเสียบไว้ที่ตัวรถ

ปะกับด้านซ้ายจะดูเยอะๆหน่อย คีย์เลื่อนทั้งหมดจะถูกบังคับด้วยนิ้วมือด้านซ้าย เปิดปิด ABS ไฟเลี้ยว ปรับเปลี่ยนโมหดเปิดปิดไฟฟ้าแบบ Auto กดดูข้อมูลทริปต่างๆ

กดสัญญาณเสียงแตร ควบคุมความเร็วเดินทางด้วย Cruise Control ไฟกระพริบส่งสัญญาณ และสุดท้ายคือ ที่ปรับทิศทางการเลือกโหมดแบบ แอนะล็อก 4 ทิศทางง่ายต่อการบังคับ

ทางด้านขวาของแฮนด์คือ คันเร่งไฟฟ้า สวิตซ์ Off-Run เปิด ปิด สตาร์ท เครื่องยนต์ และ Heat Grip อุ่นมือ

ท่อไอเสียขนาดใหญ่กำลังดี เสียงทรงพลัง ผ่านมาตรฐาน Euro 4 ดูด้านข้างเข้ากันกับเสื้อสูบเครื่องยนต์ Boxer คันนี้ ช่างดูลงตัวเสียจริง

เครื่องยนต์แรงขึ้น 4%  ShiftCam Technology

 

เครื่องยนต์แบบ Boxer 2 สูบนอน ขนาด 1,254 ซีซี เกียร์ 6 สปีด ระบายความร้อนด้วยอากาศและน้ำ พัฒนาเทคโนโลยี BMW ShiftCam ที่เสริมการทำงานของแคมเครื่องยนต์ที่สามารถปรับเปลี่ยนองศาการเปิดปิดวาว์ลให้จ่ายน้ำมันมากขึ้นที่พร้อมจะทำงานในย่านรอบเครื่องยนต์ที่ 5000 รอบ/นาที

ทำให้เครื่องยนต์มีแรงบิดมากขึ้น ทำให้มีแรงม้า 136 แรงม้าที่ 7,750 รอบ/นาที แรงบิดที่ 143 นิวตันเมตรที่ 6250 รอบ/นาที ขับเคลื่อนส่งกำลังด้วยระบบเพลา พร้อมกับระบบไอเสียแบบใหม่ ผ่านมารตฐาน Euro 4

ไม่ใช่แค่มี แคม ที่สามารถเปลี่ยนองศาได้อย่างเดียวที่ใหม่ ยังมีการปรับเปลี่ยนพัฒนา ลูกสูบใหม่ แคร้งเครื่องยนต์ใหม่ ข้อเหวี่ยงที่มีการบาลานซ์ใหม่ให้ขับขี่ได้ เนียนขึ้นและนิ่งขึ้นในการทำงานของระบบเครื่องยนต์ รวมไปถึงสำหรับสายลุย ที่ใช้รถอยู่บนเนินบ่อยๆ ทางบีเอ็มได้ออกแบบ การจ่ายน้ำมันเครื่องขณะขับขี่บนเนิน ให้ไปหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ได้อย่างเพียงพอมากขึ้น ทำให้ตัดปัญหาเรื่องความร้อนไปได้อย่างหมดห่วง

โหมดการขับขี่จัดมาไว้ให้เพียบ Rain, Road, Dynamic, Dynamic Pro, Enduro, Enduro Pro รวมไปถึง Shift Assistant Pro ที่จะช่วยการเข้าเกียร์ได้ง่ายขึ้นขณะขับขี่ ทั้งการเข้าเกียร์ และ ถอนเกียร์ โดยไม่ต้องกำคลัทช์ ทำให้การขับขี่ลงตัวมากยิ่งขึ้น รองรับกำลังเครื่องที่แรงขึ้นกว่าเดิม

ช่วงล่าง แบบ Dynamic ESA, ABS, DBC, HSC ระบบต่างๆ

ช่วงล้อหน้า มีวงล้อขนาด 19 นิ้วเป็นล้อซี่ลวดที่ออกแบบมาโดยไม่ต้องใช้ยางใน Tubeless มาพร้อมกับยางขนาด 120/70R ระบบเบรคแบบ ดิสก์เบรกคู่ ขนาด 305 มม. คาลิปเปอร์เบรกแบบ เรเดียนเมาท์ 4 สูบ ถูกยึดติดกับโช้คหน้าขนาด 37 มม.ให้ตัวได้บนแผงคอม้าที่มีโช้คอัพกลางแผงคอ Central spring strut อีก 1 ตัวที่คอยซัพแรงกระแทกทำให้การขับขี่ราบรื่น นุ่มนวลยิ่งขึ้นเท่ากับ ด้านหน้ามีโช้คอัพทั้งหมด 3 ต้น

ช่วงล้อหลัง วงล้อขนาด 17 นิ้วเป็นแบบซี่ลวด Tubeless มาพร้อมกับยางขนาด 170/60R ถูกยึดติดกับเพลาขับเคลื่อนเดี่ยวด้านซ้าย ระบบเบรกแบบดิสก์เบรกเดี่ยว คาลิปเปอร์ของ Brembo 2 ลูกสูบขนาด 276 มม. ถูกซับแรงกระแทกด้วยโช้คหลังเดี่ยวแบบไฟฟ้า สามารถปรับความหนืดและการยุบตัวของสปริงได้ด้วยระบบไฮดรอลิค

ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าหรือ Dyanamic ESA ตอบสนองผู้ใช้ตั้งแต่ตอนถ่ายน้ำหนักลงเบาะเพื่อคำนวนตามแกนสมมาตรหน้าหลังต้องมีระยะยุบเท่ากัน ไม่เกี่ยวกับน้ำหนักคนซ้อน อ้วน หรือ ผอม ก็สามารถที่จะทำให้ หน้าและหลัง มีความสูงเท่ากัน มีประสิทธิภาพในการขับขี่มากขึ้นอีกด้วย

ทั้งหมดทั้งมวลของความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ทาง BMW Motorrad ไม่เคยหยุดพัฒนา ระบบต่างๆอย่าง ABS ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยปัจจุบันสามารถทำให้ ABS ทำงานในโค้งได้อย่างเสถียรที่สุดในตอนนี้ โดยการกำเบรคเข้าโค้งได้อย่างไร้กังวล ในการเบรคแต่ระวังทั้งฉุกเฉินและไม่ฉุกเฉินสามารถทำให้รถยังคงลีนตามองศาการโค้งเหมือนเดิม ทำให้รถไม่ตั้งขึ้นมาในขณะเข้าโค้งสามารถชะลอความเร็วหรือหลบสิ่งขีดขวางได้อย่างปลอดภัย

รวมไปถึงระบบ DBC ( Dynamic Brake Control ) เมื่อเบรคฉุกเฉิน แรงเบรคจะถูกกระจายออกสองล้อเท่ากัน พร้อมตัดกำลังของเครื่องยนต์ลงพร้อมกัน ทำให้ไม่มีการโยนตัวไปด้านหน้า เอาง่ายๆคือ หน้าทิ่ม เสียอาการ การมอง การเบรค และการบังคับเลื้อ ทุกระบบทำงานพร้อมกับ ทำให้การขับขี่ทั้ง On Road Off Road เป็นไปได้ง่ายขึ้น

HSC Pro ระบบใหม่ไฟกระพริบ
ระบบนี้จะทำให้ เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ เมื่อทำงานจะมีสัญลักษณ์ ((H)) ขึ้นบนจอ TFT ตัวรถสามารถจอดอยู่บนเนินได้ โดยใส่เกียร์ว่าง N และ ไม่ต้องกำเบรคหน้า หรือ เบรคหลัง แต่อย่างใด ระบบนี้จะทำงานเองโดยอัตโนมัติ

โดยกล่อง ECU จะประมวลผลอย่างรวดเร็วเมื่อ พื้นผิวหรือสภาพถนนมีความลาดชันเกิน 5% เมื่อเทียบกับระดับน้ำทะเล ถือวว่าเป็นตัวช่วยอย่างนึงเลยที่จะทำให้รถสามารถลุยเข้าไปในสภาพถนนเชิงภูเขาได้อย่างสบายๆ

ฟิวลิ่ง การขับขี่

การขับขี่ในวันทดสอบ ตัวผมเองได้เลือกพี่ใหญ่ก่อนเลยนั้นก็คือ BMW R1250GS Adventure Exclusive ที่มี ขนาดถังน้ำมันขนาดใหญ่ 30 ลิตร รูปทรงรถที่ใหญ่มีน้ำหนักที่มากกว่ารุ่นตัวธรรมดา

โดยก่อนขับขี่มีการวอร์มเครื่องยนต์ และ ร่างกายตัวเองให้พร้อม โดยที่ ลุง Tom wolf จะเป็นผู้นำในการขับขี่ในสนาม เอ็นดูโร่ พาร์ค

ที่มีพื้นที่ 22 ไร่ ถูกออกแบบจำลองสถานการณ์การขับขี่แบบสมจริงทุกอย่างการขึ้นเนิน ลงเนิน หิน ดินร่วน บ่อทราย บ่อน้ำ บ่อกรวด การกลับรถบนเนิน ครบทุกรูปแบบ ได้ทุกอารมณ์การขับขี่

ในท่านั่งครั้งแรกรู้สึกเต็มก้น สบาย ไม่เขย่ง อาจจะเป็นเพราะ ช่วงล่างไฟฟ้า Dynamic ESA ทำงานทันนี้ เมื่อมีน้ำหนักกดลงไปที่ตัวรถ ไม่รู้สึกหน้าเชิด หรือ ท้ายลอยแต่อย่างใด ปรับสรีระท่านั่งเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น รู้สึกว่า มั่นใจกับรถคันนี้พอสมควร ปรับระยะมือเบรค และ มือคลัชท์ให้พอดีกับนิ้วของเรา (สามารถปรับระยะได้)

สตาร์ทแครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์ค่อนข้างเป็นที่หน้าพอใจ เร้าใจดี เบิ้ลเสียงนุ่มไพเราะตามแบบฉบับเครื่องยนต์ Boxer หน้าจอเรือนไมล์ TFT 6.5 นิ้วติดขึ้นมา โลโก้โชว์ขึ้นมาบนหน้าจอ อารมณ์เหมือนขึ้นยานดูล้ำสมัยดี

ออกตัว คันเร่งเบามาก เบาแบบปิดปกติ หรือว่ายังไม่ชิน คลัชท์ก็นิ่ม ไม่ปวดนิ้วมือ กำเข้าออกสบาย รอบเครื่องยนต์ ค่อนข้างจะเสถียรไม่มีอาการ การแกว่ง สะบัดของเครื่องยนต์ อาจจะเป็นเพราะเครื่องยนต์ตัวใหม่นี้มีการ บาลานซ์ข้อเหวี่ยงมาใหม่ทั้งหมด ลูกสูบใหม่ รอบเครื่องเดินเนียนนิ่งขึ้น

สามารถที่จะปล่อยมือซ้ายขับบนเนินได้ด้วยเกียร์ 1 คันเร่งไฟฟ้าทำงานได้ดี ค่อยสั่งการผ่านกล่อง ECU รวมไปขึ้นระบบ TCS ที่ทำงานไวมากตลอดเวลา และก็จะละเอียดเป็นพิเศษเมื่อเปิดโหมดการขับขี่ Rain ในสนามค่อนข้างลื่นเพราะมีฝนตกลงมาตลอดเวลา

บวกกับรถที่มีน้ำหนักค่อนข้างเยอะ แต่ระบบต่างๆ ใน GSA ก็สามารถที่จะคอยช่วยเหลือ อย่างรวดเร็ว มาถึงสถานการณ์ จำลองที่ทางทีมได้จัดไว้ให้เราทดสอบ คือ บ่อทราย ที่จะพารถที่มีน้ำหนัก 268 กิโลกรัมขับผ่านไปได้อย่างสบาย เพียงแค่เปลี่ยนโหมดจาก Rain เป็น Enduro เท่านั้น ยืนประครองทรงตัว และเดินคันเร่ง มองไปข้างหน้าเท่านั้น ก็สามารถที่จะผ่านอุปสรรคได้อย่าง ง่ายดาย

และอีก 1 สถานีที่ทุกคนไม่อยากจะลง แต่ผมอยากลง ก็คือ บ่อน้ำ ที่ได้ทำขึ้นไว้สำหรับรับแขกที่มาเยือน เอ็นดูโร่ พาร์ค แห่งนี้  ความสูงก็ประมาณโดนสายตาก็เกือบๆ 50 เซนติเมตร ลุง Tom Wolf บอกไว้เพียงแค่ว่า ไม่จำเป็นต้องขี่เร็ว เพียงคุณมองไปข้างหน้า แล้วเดินคันเร่งอย่างต่อเนื่อง เท่านั้นก็รอด ไม่จำเป็นต้องขี่เร็วในน้ำกระจาย เพราะน้ำมันอาจจะกระเด็นโดนคนอื่น

ผมก็ก็รับฟังแล้วทำตามที่บอก เป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ เดินคันเร่งต่อเนื่อง ไม่ต้องเร็ว รอบเครื่องยนต์เดินเนียน ตัวรถแทบจะไม่มีอาการล้อฟรีทิ้ง หรืออาการส่ายไปมาเพราะมีระบบควบคลุมการทรงตัว และคันเร่งที่เนียนก็เพียงพอ

ที่จะผ่านอุปสรรคได้ อีก 1 สถานีรับแขก นั้นก็คือ บ่อกรวด ที่ออกแบบเป็นทางตรงเท่านั้น ไม่น่ายากอะไร เพราะตัวรถเองก็มีระบบช่วยเหลือมากมาย ทั้ง DTC และระบบช่วงล่างไฟฟ้า กล่องควบคลุมการทรงตัว เพียงแค่เดินคันเร่งอย่างต่อเนื่อง มองไปที่ปลายทาง อ่านไลน์การขับขี่ให้ดี ก็ผ่านปอย่างง่ายดาย

สถานีที่ออกแบบมาทั้งหมดนี้ ก็ทำให้การขับขี่ของผม เมื่อขี่เจ้า GSA เป็นรื่องที่ง่ายมากขึ้น ถือว่าเป็นรถ แอดเวนเจอร์ ที่มีระบบช่วยเหลือเยอะที่สุดเท่าที่มีมาในตอนนี้ เป็นประโยชน์แก่ผู้ชื่อใช้จริงๆ

ในการทดสอบยังไม่หมดเพียงเท่านี้ การทดสอบยังมีในรูปแบบสถานการณ์จริง สภาพการเดินทางจริง เชิงภูเขา ไร่มัน ไร่สับปะรด โคลน ดินแดง และ ถนนลาดยาง โดยแบ่งอกเป็นสองกลุ่ม 1 กลุ่มที่ผมเลือกไปคงไม่พ้นลุง Tom Wolf ที่เป็นความพิเศษอย่างนึงที่ผมรู้สึกได้ ว่าขี่กับระดับโลก แบ่งกลุ่มกันเรียบร้อยก็ขอยังไม่แลกรถ ยังคือตัว Exclusive ต่อไปเพราะรู้สึกว่าเป็นรถที่ขี่ง่ายมากแต่ถ้ามากับลุงทอมก็คงไม่ง่าย เพราะสถานการณ์จริง เป็นฟิวลิ่งเข้าป่า แบบซิงเกิ้ลแทร็ค

ทางเล็กๆ มีบ่อน้ำ บ่อโคลน ดินอุ้มน้ำไว้ ทำให้ ล้อหน้ามีการสะบัดเล็กน้อย อาจจะเป้นเพราะน้ำหนักตัวรถที่สูงถึง 268 กิโลกรัม และตัวแปรต่างๆ เช่น ความเร็วให้การเปิดคันเร่ง รถด้านหน้า และต้องเบรคกะทันหัน ฉุกเฉิน เมื่อมีรถจอดขวางด้านหน้าในดินโคลน ระบบที่ใช้มากที่สุดก็คือ DTC ที่ช่วยกันลื่นในดินขณะเข้าโค้งในโหมด Rain เพราะระบบนี้ทำงานค่อนข้างจะละเอียดอ่อนมาก

ล้อหลังมีอาการฟรีทิ้ง ระบบทพงานทันทีเพียงเสี้ยววิ เดียวจริงๆ มีสถานะโชว์ที่หน้าจอ TFT ตลอด และอีก1 ระบบที่ทำงานบ่อยก็คือ DBC ช่วยได้เยอะ ทั้งชีวิต ทั้งรถ เพราะยามฉุกเฉินในการเบรคแต่ละครั้งระบบจะกระจายแรงเบรคให้เท่ากันทั้งสองล้อ พร้อมกับตัดกำลังของเครื่องยนต์ทิ้งออกไป เพื่อที่จะกันการกำเบรคพร้อมกับบิดคันเร่งไปในตัด เชื่อว่า พี่ๆน้องๆ เคยเป็นกันอย่างแน่น ทำให้เป็นรถแอดเวนเจอรือีก 1 รุ่น ที่มีระบบนี้แต่เพียงผู้เดียว

ขากลับ ได้มีโอกาสเปลี่ยนกับสื่อท่านอื่น ได้มีโอกาสลองขี่ตัว ธรรมดา ดูรู้สึกได้เลยว่าเล็ก คล่องตัว มากด้วยที่มีขนาดถังน้ำมันที่เล็กว่าตัว GSA แต่เครื่องยนต์มีกำลังเท่ากัน ทำให้พอมีช่วงเวลาเก็บอาการ เก็บอารมณ์ตอนขับขี่บนถนนลาดยาน คอนกรีต กันบ้าง เครื่องยนต์ ShiftCam ตัวนี้แรงกว่าตัวก่อนอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงการทำงานของตัว ShiftCam

ที่จะทำงานก็ต่อเมื่อเครื่องยนต์มีกำลังรอบที่ 5000ต่อนาที ขึ้นไป ทำให้รู้สึกได้เลยว่า มีแรงบิดที่มากขึ้น เร่งแซงหายห่วง แต่ก็ต้องที่สภาพถนนการยึดเกาะของตัวยางด้วยนะครับ เพราะเมื่อไรที่ผมกระแทกคันเร่งไป สถานะ DTC ก็กระพริบขึ้นที่หน้าจอทันที

เพราะล้อหลังมีอาการฟรีทิ้ง เกิดจากกำลังเครื่องยนต์ที่มาก และถนนที่ลื่น ระบบจึงทำงานอย่างต่อเนื่อง สำหรับตัวนี้ที่มีขนาดเล็กกว่า เบากว่า เพียวกว่า ทำให้คล่องตัวกว่า GSA ทั้งยืนขี่และนั่งขี่ ถือว่าเป็นตัวเลือกของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

สรุปได้เลย ทดสอบ BMW R1250GS มาแล้ว!! 

BMW R1250GS และ BMW R1250GS Adventure มีเครื่องยนต์ที่ทรงพลังมากขึ้นกว่าตัวเดิมพอสมควร ขี่ง่ายขึ้น แรงขึ้น เครื่องยนต์ตัวใหม่ลดอาการสั่นสะเทือนจากตัวเครื่องน้อยลง รอบเครื่องเดินเสถียรขึ้น ท่านั้งไม่แตกต่างจากตัว R1200GS มีระบบการจอดบนเนินโดยที่เราไม่ต้องใส่เกียร์ทิ้งไว้ หรือ กำเบรคบนเดิน

พร้อมกับมีระบบออกตัวบนเนิน ควบคลุมเสถียรภาพการทรงตัวได้ไวขึ้น แม่นยำขึ้น ระบบช่วงล่างไฟฟ้า Dynamic ESA คำนวนน้ำหนักผู้ขับขี่ ผู้ซ้อน สัมภาระและระบบเบรคแบบกระจายแรงเบรคพร้อมตัดกำลังเครื่องยนต์ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ BMW Motorrad วิเคราะห์ ผลิตพัฒนา

ออกมาให้ตรงตามความต้องการ และเพิ่มความปลอดภัยของผู้ขับขี่เป็นหลักทั้งขับขี่ในถนน ในป่า การลูกรัง ดินโคลน เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เอ็นจอยกับการขับขี่มากขึ้น และอยากจะขับขี่รถมากขึ้นอีกด้วย สุดท้ายนี้ อยากจะบอกเพียงสั้นๆว่า BMW เป็นรถที่ดี เทคโนโลยี ล้ำสมัย คุ้มค่าอย่างแน่นอน

ราคา จัดจำหน่ายในประเทศไทย
BMW R1250 GS Limited Edition เปิดราคาที่ 1,085,000 บาท 
BMW R1250 GS HP Style Limited Edition เปิดราคาที่ 1,105,000 บาท 
BMW R1250 GS Adventure Exclusive Style, HP Style เปิดราคาที่ 1,174,000 บาท

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม คลิกทีนี้ 
ติดตามข่าวสาร Facebook คลิกทีนี้
ทดสอบ BMW C400X คลิกทีนี้

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

Exit mobile version