Home รีวิวและทดสอบ รีวิว GPX DZ3 2024 หวดไม้เดียว! 800 กม. กทม. – เชียงใหม่

รีวิว GPX DZ3 2024 หวดไม้เดียว! 800 กม. กทม. – เชียงใหม่

0

รีวิว GPX DZ3 2024 หวดไม้เดียว! 800 กม. กทม. – เชียงใหม่

เช็คอินเชียงใหม่ ณ ประตูท่าแพ

ประกาศคัมแบคอีกครั้ง ด้วยโมเดลใหม่ล่าสุุดจากค่ายรถจักรยานยนต์แบรนด์คนไทยอย่าง GPX Thailand พร้อมเดินหน้าเต็มสูบให้แก่เหล่าไบค์เกอร์ได้พิสูจน์ถึงความแรงแบบเต็มพิกัดด้วยสกู๊ตเตอร์โฉมใหม่อย่าง All New GPX DZ3 (ดี-ซี-ทรี) สปอร์ตพรีเมียมสไตล์ City Use พร้อมขนานนามได้ว่า All New All Around ในราคาที่โดนใจ ไปพร้อมกับการทดสอบ รีวิว GPX DZ3 2024 ครั้งแรก! เพื่อพิสูจน์สมรรถนะแบบเต็มพิกัดในทริป กทม.-เชียงใหม่ ด้วยระยะทางทั้งหมดกว่า 800 กม. สำหรับรายละเอียดของตัวโมเดลจะมีอะไรพิเศษที่น่าสนใจกันบ้าง

ดีไซน์ใหม่ ออกแบบโดยคนไทย

All New ใหม่หมดรอบคัน

เสริมความสปอร์ตรอบคันด้วยการดีไซน์ให้ความโฉบเฉี่ยวผสานการออกแบบภายใต้แนวคิด “It’s the Time to Level Up” และเพื่อที่จะได้สัมผัสถึงสมรรถนะความแรงเต็มเปี่ยมและพร้อมที่จะท้าทายด้วยจิตวิญญาณนักบิด ด้วยมิติทรวดทรง ลายเส้นของตัวโมเดลผ่านการคัดสรรงานออกแบบโดยคนไทย ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสถึงความเร้าใจในทุกระดับ

จุดชมวิวสวย ๆ บนดอยสุเทพ

เรียกได้ว่าสปอร์ตในทุกสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ออกแบบใหม่วาดเส้นตวัดปลายแหลม ใส่คิ้วหนาด้วยกรอบด้านบนดูเท่ไปอีกระดับ และไฟท้ายโดยแยกไฟเลี้ยวบิ้วอินต์เข้าไปในตัว เสริมความสว่างมากขึ้นด้วยระบบไฟ Full LED เต็มระบบรอบคัน ต่อกันที่สัดส่วนแฟริ่งออกแบบให้มีความดูคม เว้าสัดส่วนเพิ่มการไหลเวียนทิศทางลมผ่านตัวรถสมูทยิ่งขึ้น ประดับหมวกเท่ ๆ ด้วยชิลด์หน้าทรงสปอร์ตปักแบรนด์โลโก้ไว้บริเวณตรงกลาง รวมถึงลายกราฟิกชื่อรุ่นขนาดใหญ่เด่น ๆ และใส่เพลทเงิน DZ3 ที่ด้านข้างเพิ่มความหรูหราไปอีกระดับ

ไฟหน้าดีไซน์สปอร์ต
พร้อมไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์
ใช้เป็นระบบ LED รอบคัน
หน้าจอ Reverse Digital LCD
ออกแบบขนาดความกว้างแบบจุใจ
พร้อมฟังก์ชันการแสดงผลครบครัน
กุญแจสมาร์ทคีย์ IP67
สามารถกันน้ำในระดับความลึก
ไม่เกิน 1 เมตร
นานถึง 30 นาที
เก๊ะด้านหน้า 2 ช่อง
พร้อมใช้งาน
ช่องเสียบ USB Type C แบบใหม่

ถัดมาในฝั่งคอนโทรลเซอร์วิสเริ่มกันที่ หน้าจอ Reverse Digital LCD ออกแบบขนาดความกว้างแบบจุใจ แฮนด์บาร์อลูมิเนียมสีเงินสามารถปรับได้ สวมตราประทับ GPX เด่น ๆ ตรงขาจับแฮนด์ ขณะที่ปุ่มคอนโทรลจากฝั่งประกับออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายอีกด้วย พร้อมกันนี้กุญแจของโมเดลรุ่นนี้ยังอัปเดตเป็นรุ่นสมาร์ทคีย์ (IP67) มาพร้อมคุณสมบัติกันน้ำพิเศษ ที่สามารถเปิดฝาถังน้ำที่บริเวณด้านหน้า เปิด-ปิดเบาะได้สะดวกตามการใช้งาน และฟังก์ชันล็อคคอรถซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน

เบาะใหม่ ดีไซน์สปอร์ต
ช่องเก็บของใต้เบาะ
สามารถเก็บหมวกกันน็อกเต็มใบ
และสัมภาระอื่น ๆ ได้
ถังน้ำมันด้านหน้าขนาด 10.3 ลิตร

พร้อมทั้งเก๊ะด้านหน้าสองช่องที่สามารถเปิด-ปิดได้สะดวกเพียงใช้มือกด โดยด้านในมีช่องเก็บของที่เก็บอุปกรณ์ได้ประมาณนึง บวกกับมีพอร์ตชาร์จไฟ USB Type C ใส่มาให้อีกหนึ่งจุดทางฝั่งซ้ายให้ใช้งาน และนอกจากนี้ยังคงให้ความสะดวกสบายด้วยตัวเบาะชิ้นเดียวแบบสองระดับ เสริมการตัดเย็บด้วยหนังเบาะสีแดงและใส่โลโก้ดูพรีเมียมมากยิ่งขึ้น ขณะที่ช่องเก็บของใต้เบาะสามารถเก็บหมวกกันน็อกได้เต็มใบรวมถึงสัมภาระอื่น ๆ ได้ และพิเศษพักเท้าคนซ้อนออกแบบมาใหม่ สามารถเปิด-ปิดได้เลยไม่ต้องเอาเท้ากดให้เมื่อยอีกด้วย

คอนโทรลง่าย นั่งสบาย

ขี่เร็วจนตากล้องถ่ายเกือบไม่ทัน

ต้องเรียนว่าเจ้า All New คันนี้มีการดีไซน์อะไรหลาย ๆ อย่างที่ค่อนข้างตอบโจทย์ และยังเหมาะกับไซส์คนเอเชียโดยเฉพาะไบค์เกอร์บ้านเราเป็นพิเศษด้วยไดเมนชันที่มองจากรูปร่างภายนอกแล้วรู้สึกว่าตัวรถนั้นไม่ได้สูง บวกกับจุดศูนย์ถ่วงต่ำซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่องของท่านั่งขับขี่ที่สะดวกสบายแล้ว ยังเพิ่มเสถียรภาพการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

มุมมองการขับขี่

สำหรับมุมมองผู้ขับขี่นั้นไม่ค่อยเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ใช้งานเท่าไหร่นัก ด้วยความที่ว่า..หน้ารถมันไม่ได้สูง ตัวชิลด์ไม่ได้สูง บวกกับกระจกข้างขนาดใหญ่ ตัวจออ่านค่าได้ง่าย จึงทำให้ค่อนข้างที่จะสะดวกสบายและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ส่วนระยะแฮนด์นั้นไม่กว้างเลยแถมยังมีความเบา เวลาขับขี่แบบ City Use ใช้งานในเมืองจุดนี้ไม่น่าเป็นปัญหา เลี้ยวสะดวก โฉบเฉี่ยว และคล่องตัวเลยทีเดียว แต่สำหรับใครที่จะใช้ออกทริปเดินทางไกลก็ขอแนะนำให้ปรับชิลด์หน้าขึ้นมาอีกหน่อย จะช่วยได้มากยิ่งขึ้น และนอกจากนี้ยังสะดวกสบายด้วยตัวเบาะออกแบบใหม่เว้าพนักพิงด้านหลัง ทำให้ท่านั่งขับขี่ไม่เสียการทรงตัวแน่นอน (สำหรับใครที่ชื่นชอบความเร็วเป็นพิเศษ แนะนำให้ปรับเบาะใหม่ เวลามุดจะได้สะดวกขึ้น แต่ก็หลบพี่ ๆ ลูกเสือให้ทันด้วยนะ ฮ่า ๆ)

ขุมพลังใหม่ กับ HYPER-i

ขุมพลังใหม่ จากโรงงานเดียวกันกับ Vespa

ประเด็นแรกที่ชูก็คือในเรื่องของขุมพลังที่เป็นเครื่องยนต์บล็อกใหม่กับ Hyper-i ซึ่งเป็นบล็อกจากโรงงานเดียวกันกับ Vespa ด้วยปริมาตรกระบอกสูบขนาด 278.2 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด พร้อมถังน้ำมันติดตั้งมาให้ที่ขนาด 10.3 ลิตร ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยสายพาน โดยมีกำลังแรงม้าที่ 24.1 แรงม้าที่ 8,250 รอบ และแรงบิดขนาด 24.5 นิวตันเมตรที่ 6,250 รอบ พร้อมเคลมอัตราประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 30 กม./ลิตร

ในส่วนฟีลลิ่งของเครื่องยนต์ต้องขอแยกทีละส่วนเพื่อให้เข้าใจได้มากยิ่งขึ้น สำหรับการใช้งานในเมือง แน่นอนว่าตัวรถนั้นถูกดีไซน์คาแรคเตอร์มาแบบ City Use ให้ใช้งานในเมืองเป็นหลัก ซึ่งเรื่องของพละกำลังเครื่องยนต์ถือว่ามีเพียงพอแบบเหลือ ๆ และยังคงเพิ่มสเต็ปของการใช้งานได้ค่อนข้างหลากหลาย โดยช่วงออกตัวถือว่ายังให้ความสมูท นุ่มนวล ซึ่งส่วนนี้ทางค่ายเองก็ได้ตั้งใจออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขับขี่ที่ไม่ได้อินกับสายซิ่งมากนัก อาทิ ผู้หญิง แม่บ้าน ก็สามารถใช้งานได้เช่นเดียวกัน 

ในขณะที่ช่วงรอบตั้งแต่กลาง ๆ ขึ้นไปตัวรถพร้อมที่จะมอบอีกคาแรคเตอร์ก็คือความสปอร์ต โดยช่วงรอบดังกล่าวนั้นมาไวขึ้น ในจังหวะขับขี่เร่งแซงหรือขับขี่เลนขวา ซึ่งตรงกับคอนเซ็ปต์ Upper Step ตามที่ได้ออกแบบไว้ทุกประการ

พิสูจน์แล้ว พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ผ่าน”

ทางสวยมาก

และสำหรับการทดสอบออกทริป กทม. – เชียงใหม่ในครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์คุณสมบัติของ “สมรรถนะเครื่องยนต์” และ “ความทนทาน” กับขุมพลังบล็อกใหม่ในโมเดลรุ่นนี้ กับความเร็วเฉลี่ยราว ๆ อยู่ที่ 120 กม./ชม. (ระยะทำความเร็วอยู่ที่ 130 – 140 กม.ชม.) รวมถึง Top Speed สูงสุดที่ 157 กม./ชม. เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะลบคำ “สบประมาท” และพร้อมที่จะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้เหนือระดับไปอีกขั้น

แล้วทริปครั้งนี้ ใช้น้ำมันไปเท่าไหร่ ?

จุดสตาร์ท @ ปั้มบางจาก พระราม 4
(เติมน้ำมันครั้งแรก 285 บาท)
แวะพักจุดที่สอง @ ปตท. จ.นครสวรรค์
(เติมน้ำมัน 330 บาท)
แวะพักจุดที่สาม @ ปตท. จ.ตาก
(เติมน้ำมัน 320 บาท)
แวะพักจุดสุดท้าย @ ปตท. จ.ลำปาง ก่อนเข้าจ.เชียงใหม่(เติมน้ำมัน 310 บาท)


ในเรื่องของอัตราการประหยัดน้ำมันในทริปนี้ (กทม.-เชียงใหม่) ขาไป+วิ่งในเมือง ระยะทางทั้งหมด 800 กม. โดยใช้น้ำมันไปที่ 30 ลิตร ซึ่งเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ราว ๆ 26 กม./ลิตร โดยรวมค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,245 บาท (ความเร็วเฉลี่ย 120 กม./ชม.)

ช่วงล่างโดดเด่น

โช้คหน้าเทเลสโคปิก
ดิสก์เบรกขนาด 250 มม.
ปั๊มเบรก 2 ลูกสูบ (ABS)
ขนาดล้อ 14 นิ้ว และยาง 110/70
โช้คหลังสปริงคู่จาก
YSS DCZ
ตรงรุ่นจากโรงงาน
(เฉพาะรุ่น Sport) ปรับพรีโหลด
ดิสก์เบรกขนาด 220 มม.
ปั๊มเบรกลูกสูบเดียว (ABS)
ขนาดล้อ 13 นิ้ว และยาง 130/70

พร้อมช่วงล่างด้วยโช้คหน้าแบบเทเลสโคปิก ด้านหลังเป็นโช้คสปริงคู่ (ในรุ่น Standard) แลพสำหรับรุ่นที่กำลังรีวิวทดสอบเป็นโฉมรุ่น Sport ที่มาพร้อมกับโช้คคู่พร้อมซัปแทงค์จาก YSS DCZ Sport Type ตรงรุ่นจากโรงงาน ใส่สีดำทองเด่น ๆ โดยสามารถปรับค่าพรีโหลดได้ พร้อมระบบเบรกด้วยดิสก์เบรกหน้าขนาด 250 มม. สวมคาลิเปอร์ 2 ลูกสูบ และดิสก์เบรกเดี่ยวด้านหลังขนาดที่ 220 มม. ใช้คาลิเปอร์ลูกสูบเดียว เสริมการเบรกให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วย ABS Dual Channel และที่สำคัญกับระบบแทร็คชันคอนโทรล สามารถเปิด-ปิด ด้วยปุ่มโหมด (TCS) จากประกับฝั่งขวา ต่อด้วยล้อดีไซน์แบบใหม่ทรงสปอร์ต โดยมีขนาดล้อหน้าที่ 14 นิ้ว ล้อหลัง 13 นิ้ว รัดมาด้วยยางหน้า-หลังขนาด 110-70 และ 130/70

มั่นใจ ไปอีกระดับ

ทางสวย ๆ บนดอยสุเทพ

สิ่งที่จะมาเติมเต็มให้คาแรคเตอร์ตัวรถสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ก็คือระบบช่วงล่างนี่แหล่ะครับ ส่วนตัวต้องบอกว่า “ประทับใจ” ในระบบช่วงล่างที่ออกแบบมาให้ใช้งาน และรู้สึกได้ว่าทางค่ายนั้นทำการบ้านออกมาได้ดี โดยเฉพาะระบบกันสะเทือนที่เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องเซ็ตอะไรเพิ่ม (สำหรับรุ่น Sport) ในห้วงระยะความเร็วที่ 150 กม./ชม. ขับขี่ผ่านกระแสทิศทางลม ไม่พบอาการส่ายให้เห็น รวมถึงขี่ลงเขา ขี่เข้าโค้ง ตัวโช้คยังคงให้ความแข็งหนืด ที่ช่วยให้ตัวรถมีความยึดเกาะที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

และมั่นใจมากขึ้นด้วยระบบเบรกที่ติดตั้งมาให้ บวกกับระบบ ABS Dual Channel ถือว่าเอาอยู่สบาย ๆ แต่สำหรับสายซิ่ง อัปเกรดระบบเบรกไว้ก็จะดีเลยไม่น้อย เพื่อที่จะขับขี่ได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นนั่นเอง รวมทั้งตัวยางที่ให้มาถือว่ายังพอใช้ได้ตามมาตรฐานการใช้งาน ไม่น่าเกลียด โดยมองรวม ๆ แล้วตัวรถยังมีอะไรให้ไปต่ออีกได้อีกหลาย ๆ จุด ให้ใช้งานได้ตามใจชอบ

คะแนนสำหรับรีวิวการทดสอบ
Design :
8/10 ดีไซน์สปอร์ต โฉบเฉี่ยว สัดส่วนดูกระชับ ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป
Ergonomic : 8/10 ค่อนข้างสะดวก ที่แทบจะเรียกได้ว่า Overall รอบด้านสำหรับสกูตเตอร์สาย City Use ใช้งานในเมือง
Engine : 8/10 เครื่องยนต์ใหม่ ถือว่าแรง ทนทาน ต้องลองใช้กันยาว ๆ
Suspension : 8.5/10 ช่วงล่างถือว่าดี ไม่มีอาการ ตอบโจทย์เลย
Brake : 7/10 ระบบเบรกใช้งานได้ดีตามมาตรฐาน
Tyre : 7/10 ใช้งานค่อนข้างโอเค แต่ถ้าอยากได้ความปลอดภัยและความมั่นใจเพิ่มให้ลองใส่ยางสมรรถนะสูง ๆ ก็ดีไม่น้อย อย่างส่วนตัวที่ใช้ก็ Rosso Scooter จัดซักคู่ ใช้งานยาว ๆ

OVERALL : 8/10 โดยรวมถือว่าตอบโจทย์ ตัวรถดีไซน์ใหม่ เครื่องยนต์บล็อกใหม่และที่ชื่นชอบเลยก็คือ ระบบช่วงล่างทำออกมาได้ดีในรถพิกัดนี้ เกินคอนเซ็ปต์ขับขี่ใช้งานในเมืองเลยหล่ะ แถมใช้ออหทริปก็สนุก

Ride or Upgrade : หากใครเป็นสายท่องเที่ยวหรือชอบออกทริป แนะนำให้เปลี่ยนชิลด์ใหม่ซึ่งน่าจะช่วยบังลมได้ดียิ่งขึ้น เวลาขับขี่ทางไกลจะได้ไม่ต้องปวดคอ ส่วนเรื่องอื่น ๆ คงไม่มีอะไรแนะนำ แต่ถ้าใครจะไปต่อ ทำได้แน่นอน

รุ่น Sport มีจำหน่ายทั้งหมด 4 สีได้แก่

สีขาว
สีแดง
สีเขียว
สีดำ

สำหรับในเรื่องการจำหน่ายโมเดลรุ่นนี้มีทั้งหมด 2 รุ่น 6 สีด้วยกัน ได้แก่ รุ่น Standard มีจำหน่าย 2 สีได้แก่ สีเทาและสีดำ สนนราคาอยู่ที่100,800 บาท (ราคาพิเศษ 94,800 บาท ถึง 30 ก.ย.67) ส่วนรุ่น Sport มีจำหน่ายทั้งหมด 4 สีได้แก่ สีขาว สีแดง สีเขียว และสีดำ สนนราคาอยู่ที่ 105,800 บาท (ราคาพิเศษ 99,8000 บาท ถึง 30 ก.ย.67) พร้อมการรับประกัน 3 ปี หรือ 30,000 กม. หากใครสนใจสามารถเข้าไปชมโมเดลตัวจริงได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการ GPX หรือตัวแทนจำหน่าย ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ

รุ่น Standard มีจำหน่าย 2 สีได้แก่

สีเทา
สีดำ

 

“นี่คือสกู๊ตเตอร์คลาส 150 ซีซี ที่สมรรนถะเทียบเท่ากับรถคลาส 300 ซีซี
นี่คือสกู๊ตเตอร์คลาส 300 ซีซี ที่มีราคาเทียบเท่ากับรถคลาส 150 ซีซี”

วิวเขาที่ห้วยตึงเฒ่า จ.เชียงใหม่

ปิดท้ายด้วยบทสรุปของเจ้า DZ3 รุ่นนี้ กับรูปลักษณ์ดีไซน์แบบ All New ที่ให้ความสปอร์ต โฉบเฉี่ยวในทุกสัดส่วน เครื่องยนต์บล็อกใหม่ Hyper-i แรง ทนทาน ช่วงล่างจัดเต็ม พร้อมที่จะลุยในทุกสถานการณ์ รวมถึงฟีเจอร์ที่ติดตั้งมาให้ใช้ ซึ่งทั้งหมดถือว่าเป็น “ตัวจบ” ที่ค่อนข้างลงตัว สำหรับสายขับขี่ในเมืองหรือแม้กระทั่งออกทริปสามารถใช้งานได้ทุกไลฟ์สไตล์ ถ้าหากจะเปรียบเทียบกับรุ่นอื่น ๆ ก็ขอให้มองว่า “นี่คือสกู๊ตเตอร์คลาส 150 ซีซี ที่สมรรนถะเทียบเท่ากับรถคลาส 300 ซีซี หรือสกู๊ตเตอร์คลาส 300 ซีซี ที่มีราคาเทียบเท่ากับรถคลาส 150 ซีซี” ซึ่งสามารถมองได้ทั้งสองแบบ แถมยังเป็นข้อที่ได้เปรียบทั้งสองจุด ก็อยากให้ลองพิจารณาหรือไม่ก็ไปลองขับขี่ก่อนกันได้ สำหรับโมเดลรุ่นต่อไปจะเป็นรุ่นอะไรจากทาง GPX  ก็อย่าลืมฝากติดตามข่าวสารผ่านทางเพจ SuperBike กันได้เลย พร้อมรับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

* GPX ถือว่าเป็นแบรนด์ไทยที่มีสัดส่วนในตลาดรถจักรยานยนต์เป็นอันดับ TOP 5 ของประเทศ นับแต่ปี 2007 ที่ก่อตั้งขึ้นมาและส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพให้กับลูกค้ามาหลายรุ่นด้วยกัน ซึ่งสามารถการันตีความนิยมในตลาดด้วยยอดขาย 10 ปีที่ผ่านมา (2013-2023) ถึง 240,000 คัน ประกอบกับมีฐานการผลิตที่นิคมอุตสาหกรรมเกตุเวย์ จ.ระยอง และไม่เพียงจัดจำหน่ายในไทยเท่านั้น รถจักรยานยนต์ของแบรนด์ GPX ยังส่งออกขายต่างประเทศกว่า 10 แห่งทั่วโลก อาทิ ญี่ปุ่น มาเลเซีย โคลัมเบีย เวียดนาม บังกลาเทศ และกรีซเป็นต้น แถมยังสร้างความเชื่อมั่นด้วยการบริการเซอร์วิสหลังการขายที่รองรับกว่า 115 แห่งทั่วประเทศ *

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

Exit mobile version