Home รีวิวและทดสอบ รีวิว Ducati Desert X Rally อสูรพันธุ์ “X” แห่งทะเลทราย

รีวิว Ducati Desert X Rally อสูรพันธุ์ “X” แห่งทะเลทราย

0

รีวิว Ducati Desert X Rally อสูรพันธุ์ “X” แห่งทะเลทราย

ในนาทีนี้ ถ้าหากพูดถึงแอดเวนเจอร์ไบค์ไซส์กลางที่ทรงพลังที่สุด สาวกไบค์เกอร์หลาย ๆ คนคงอาจนึกถึงเจ้า Ducati Desert X สัญชาติอิตาลีเป็นหนึ่งในตัวเลือกอย่างแน่นอนกันใช่ไหมหล่ะครับ และเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการขับขี่ในเส้นทางออฟโร้ดมากยิ่งขึ้น ล่าสุดทางค่ายได้ทำการเปิดตัว Ducati Desert X Rally โฉมใหม่ที่มาพร้อมกับรหัสสายพันธุ์ “Rally” ฉบับปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มสมรรถนะขับขี่บนทางออฟโร้ดโดยเฉพาะ

และในโอกาสพิเศษนี้ ทางค่ายพร้อมจัดหนัก จัดใหญ่กับการเปิดตัวโมเดลพร้อมเปิดราคา “ครั้งแรก” ในประเทศไทย ณ มอเตอร์สปอร์ต ปาร์ค สุวรรณภูมิ ไปพร้อมกับการทดสอบขับขี่เพื่อรีดสมรรถนะได้อย่างเต็มพิกัด รวมถึงเพื่อให้ทุกคนได้ร่วมสัมผัสกับประสบการณ์อันใหม่ไปกับการ รีวิว Ducati Desert X Rally รุ่นนี้ จะเป็นอย่างไร ติดตามชมกันได้เลย

ดีไซน์เอกลักษณ์ตามฉบับสายลุย

ในเรื่องของรูปลักษณ์ดีไซน์นั้นยังคงยึดสไตล์ความเป็นรถสายเอนดูโร่ในยุค 80 ซึ่งโดดเด่นด้วยไฟหน้าทรงกลมคู่ ดูแล้วเสมือนคุณลุงสายลุยยุคใหม่ ขณะที่ส่วนอื่น ๆ ถูกนำมาปรับปรุงใหม่ในหลาย ๆ จุด พิเศษด้วยชุดสีและลายกราฟิกใหม่ ให้กลิ่นอายของความเป็นสปอร์ต ดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ตามฉบับค่าย ขณะเดียวกันชิ้นส่วนอื่น ๆ ยังถูกปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขับขี่แบบออฟโร้ดได้อย่างชัดเจน และด้วยขนาดบอดี้ตัวรถที่ถูกปรับมาใหม่มีขนาดความกว้างขึ้น ถังน้ำมันดีไซน์ใหม่และถังน้ำมันอีกหนึ่งจุด (ถังน้ำมันด้านท้ายเป็น Accessory ต้องซื้อเพิ่ม)

อุปกรณ์ใหม่ที่ติดตั้งมาให้

บังโคลนหน้าติดตั้งแบบยกสูง มีคุณสมบัติป้องกันการสะสมของดินโคลนเมื่อขี่ลุยทางออฟโร้ด ทำให้สบายใจหายห่วงเวลาลุยทางดินเปียก ไม่ต้องกังวลเรื่องดินติดล้อหน้า

เสริมด้วยสติ๊กเกอร์สีดำพร้อมลวดลายที่สื่อถึงการขับขี่แบบลุย ๆ

กราฟิกสติ๊กเกอร์แบบหนา สะดวกในการปรับแต่งลวดลาย รวมถึงช่วยลดรอยขีดข่วนบริเวณพื้นผิวบอดี้พาร์ท
เบาะนั่งชิ้นเดียวแบบแรลลี่ ตัดกันด้วยแทบสีดำ-แดง ทั้งยังเพิ่มความเรียบหรูลวดลาย Rally และชื่อรุ่นด้านข้าง เพิ่มมิติในเรื่องของความสวยงามไปอีกขั้น
ซับเฟรมและมือจับคนซ้อนสีแดง ให้อารมณ์ดุดันแบบรถแข่ง
ถังน้ำมันด้านท้าย (อุปกรณ์เสริม)
เบรกหลังและคันเกียร์อลูมิเนียม ออกแบบพิเศษเฉพาะรุ่นและปรับได้สองตำแหน่ง ใช้สำหรับบนทางดำและออฟโร้ด มีน้ำหนักเบาขึ้น 0.4 กก.
แฮนด์บาร์อลูมิเนียม ให้ความแข็งแรงและสามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ  อาทิ อุปกรณ์ GPS หรือที่วางสมาร์ทโฟน พร้อมกันสะบัดจาก Ohlins
สายน้ำมันเบรกหน้าแยกส่วน สามารถติดตั้งได้ทั้งบังโคลนหน้าแบบสูงและต่ำ
ท่อไทเทเนียม Termignoni
(อุปกรณ์เสริม สามารถติดตั้งเพิ่มเติมได้)
อกล่างคาร์บอนไฟเบอร์ ผลิตจากเทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์แรงอัดสูง
มีน้ำหนักเบาและแข็งแรง


ขุมพลัง Testastretta 11° L-Twin

สำหรับเครื่องยนต์เป็น Testastretta 11° L-Twin 2 สูบ มีปริมาตรกระบอกสูบขนาด 937 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ใช้ระบบวาล์วแบบ Desmodromic valvetrain 4 วาล์วต่อลูกสูบ มีขนาดลิ้นเร่งที่ 53 มม.ทำงานควบคู่กับระบบคันเร่งไฟฟ้า ระบบหัวฉีดไฟฟ้าจาก Bocsh ระบบสตาร์ทไฟฟ้า และระบบเกียร์แบบ 6 สปีดพ่วงมาพร้อมกับควิกชิฟเตอร์ Up-Down โดยให้พละกำลังแรงม้าสูงสุดที่ 110 แรงม้าที่ 9,250 รอบต่อนาที ขณะที่แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 92 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบต่อนาที ผ่านมาตรฐาน EURO5 ประกอบกับถังน้ำมันขนาด 21 ลิตร

อัปเกรดช่วงล่างใหม่ แน่นหนึบ

ให้สมฐานะกับการเป็นโมเดลสายลุยมากขึ้น ด้วยการอัปเกรดระบบช่วงล่างกับโช้คหน้า UpSideDown จาก KYB ขนาด 48 มม. มีระยะยุบ 240 มม. ปรับได้เต็มระบบไม่ว่าจะเป็นพรีโหลด คอมเพรสชันและรีบาวด์ รวมถึงตัวโช้คมีการเคลือบแกนสไลด์ด้วยเทคโนโลยี Kashima Coating ประกอบกับตัวกระบอกยังเคลือบ DLC เพิ่มประสิทธิภาพการลื่นไหลและทนทาน มาพร้อมกับระบบ Closed Cartridge โดยน้ำมันถูกอัดแรงดันในตลับที่อยู่ด้านใน เพื่อป้องกันการเกิดฟองอากาศ และช่วยป้องกันการลดประสิทธิภาพการหน่วงเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงบนเส้นทางออฟโร้ด

ขณะที่โช้คหลังเป็นโช้คเดี่ยวขนาด 46 มม. จาก KYB เช่นกัน มีระยะยุบตัว 240 มม. ปรับได้เต็มระบบทั้งพรีโหลด ปรับรีบาวด์และคอมเพรสชันได้ทั้งแบบ High Speed และ Low Speed ต่อด้วยระบบเบรกกับดับเบิ้ลดิสก์เบรกด้านหน้าขนาด 320 มม. ติดคาลิเปอร์โมโนบล็อกเรเดียลเม้าท์ Brembo ขนาด 4 ลูกสูบ ด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 265 มม. ติดคาลิเปอร์ขนาด 2 ลูกสูบ พร้อมด้วยล้อซี่ลวดแบบใช้ยางในจากแบรนด์ Takasago Excel และยาง Pirelli Scorpion Rally STR หน้า-หลังมาให้ขนาด 90/90-21 และ 150/70-18 ตามลำดับ และเคลมน้ำหนักตัวรถที่ 210 กก.

เทคโนโลยีอัดแน่น

ในเรื่องของเทคโนโลยีนั้นทางค่ายเองได้ให้มาเยอะไม่แพ้กัน ทั้งโหมดการขับขี่ ระบบเสริมความปลอดภัยและฟีเจอร์ใช้งานอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มีดังนี้้

ฟีเจอร์อำนวยความสะดวก ระบบเสริมความปลอดภัย ระบบเสริมการขับขี่
ระบบไฟส่องสว่าง LED Bosch Cornering ABS
(ปรับได้ 3 ระดับ)
โหมดการขับขี่ 6 โหมด
(Sport, Touring, Urban, Wet, Enduro และ Rally)
หน้าจอสี TFT ขนาด 5 นิ้ว แทร็คชันคอนโทรล (ปรับได้ 8 ระดับ) ระบบครูซคอนโทรล
ระบบนำทาง Turn by Turn (เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน) ระบบควบคุมการลอยตัวของล้อ คันเร่งไฟฟ้า
พอร์ตชาร์จไฟ USB ระบบควบคุมเอ็นจิ้นเบรก ควิกชิฟเตอร์แบบ 2 ทาง
ระบบไฟเบรกฉุกเฉิน (เมื่อเบรกกระทันหัน) โหมดควบคุมกำลังเครื่องยนต์ 4 โหมด

ฟีลลิ่งการทดสอบ

และครั้งนี้ทางทีมงานได้มีโอกาสร่วมทดสอบขับขี่เจ้า Desert X Rally รุ่นนี้ ด้วยส่วนสูงที่ 174 ซม. ตอนคร่อมรถขาถึงพื้นแต่แอบมีเขย่งเล็กน้อย (ช่วงขาสั้น) แต่ก็มิใช่ปัญหาในการขี่บนถนน วินาทีแรกที่บิดคันเร่งบนถนนจากทรงรถที่ดูสูงใหญ่ แต่เครื่องกลับนุ่มนวลขี่สบายกว่าที่คิด รูปทรงสูงยาว แต่ตอนเลี้ยวเข้าโค้งกลับเบาหวิวเนื่องมาจากโช้คหน้าและหลังที่เป็นตัวแต่งสามารถปรับความละเอียดในการยุบและคืนตัวได้หลายระดับ บวกกับยางที่ติดรถมาคือ Pirelli Scorpion ทำให้มั่นใจในโค้งยิ่งขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นรถที่ขี่ทางเรียบแบบสบาย ๆ อีกหนึ่งรุ่นเลยก็ว่าได้

ถ้าหากเอ่ยถึงการขี่ลุยทางดินหรือลุยป่า มือเก๋ามากประสบการณ์ทักษะสูงจะรู้กันว่า การขี่รถทรงสูงลุยทางดินหรือลุยป่าจะขี่ดีและเร็วกว่ารถทรงเตี้ย แต่สำหรับมือใหม่น้อยประสบการณ์ ต้องหมั่นฝึกซ้อมขับขี่บ่อย ๆ ไม่งั้น มันก็คือวิบากกรรมดี ๆ นี่เอง และการทดสอบทางดินด้วยกำลังเครื่องขนาด 937 ซีซีซึ่งไม่มากเกินและไม่น้อยไปในการลุยทำให้ในการขึ้นเนินทางชัน ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น ระบบเบรกที่ดีงามก็ช่วยในการประคองรถได้บางจุดได้สบาย ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับทักษะทางดินของผู้ขับขี่ด้วย

อย่างที่กล่าวไปว่ามันไม่ใช่รถสำหรับ “มือใหม่” ที่จะจับเอามาขี่ได้ในทันที ต้องมีทักษะการขับขี่ที่มีความชำนาญมาในระดับหนึ่ง ถึงจะได้สัมผัสกับสมรรถนะของเครื่องยนต์ได้เต็มที่ รวมถึงช่วงล่างที่ยอดเยี่ยม เจ้าคันนี้จะตอบโจทย์เลยทีเดียว แต่ถ้าจะเอาไว้ขี่ทางดำก็สามารถทำได้เช่นกัน ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับสาวกดูคาติที่อยากจะลุยฝุ่นกับเขาบ้าง

จากที่ได้ลองขี่ในสนามที่มอเตอร์สปอร์ต ปาร์คสุวรรณภูมิ จะเห็นได้ว่าคันนี้ถือแม้มันจะสูง แต่ฟีลลิ่งในการเข้าโค้งถึงว่าโอเคเลย ผิดกับรูปร่างที่มันดูสูงโปร่ง ถ้าแบบคนทั่วไปเห็นเขาเห็นคันนี้แล้วคงรู้สึกได้ว่า มันใหญ่ มันเข้าโค้งแคบ ๆ ได้ยาก แต่พอมาลองจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เลย รถเขาเซ็ตมาดีมากเลยโดยเฉพาะช่วงล่าง บวกกับเครื่อง 937 ถือว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ดีรุ่นหนึ่งของทาง Ducati เลย ทำให้สมรรถนะในการเข้าโค้ง การเล่นโค้งนั้นตอบโจทย์ บวกกับคันเร่งไฟฟ้าและกล่อง ECU รุ่นใหม่ ที่มันค่อนข้างจะตอบสนองผู้ขับขี่ได้ดีทีเดียว เวลาเราเปิดคันเร่ง เราจะสามารถเลือกได้ว่าเราจะเอาหนัก กลาง เบา เลือกตามใจชอบได้เลย ก็มีความรู้สึกว่าประทับใจ สำหรับคนที่สนใจจะมาขี่ทางฝุ่นหรือเดินทางเข้าป่าไกล ๆ รุ่นนี้ก็ค่อนข้างตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี 

สรุปในภาพรวมของ Desert X Rally นั้น เป็นรถที่ขี่ทางเรียบดีและสนุกคันหนึ่ง เนื่องจากตัวรถได้ใส่ของดีมาหลายอย่าง ทำให้การขี่ทั้งทางตรงทางโค้งได้ดีเยี่ยมบวกกับระบบที่ดีมากทำให้สนุกในการขี่ แต่ในส่วนของทางดินและลุยป่าก็ต้องบอกว่าเจ้ารุ่นนี้มันคัดคนขี่ คนที่จะขี่เจ้านี่ลุยทางดินและทางป่า ต้องมีทักษะและประสบการณ์ในระดับนึงถึงจะเอาเจ้ารุ่นนี้อยู่

ด้วยราคาค่าตัวที่ 869,000 บาท กับสีขาว-ดำ-แดง พร้อมการรับประกันนานถึง 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และการบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. หรือ Roadside Assistance นาน 3 ปี สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางออฟฟิเชียลของดูคาติได้ที่
Facebook : Ducati Thailand
Line Official : @ducatithailand 

สำหรับเจ้า Desert X Rally รุ่นนี้ถือว่าค่อนข้างคุ้มค่าที่จะเอามาลงขี่ลุยทางฝุ่นหรือทางเรียบก็สามารถได้เช่นกัน หากใครชื่นชอบ สามารถไปลองทดสอบขับขี่หรือชมตัวจริงได้ที่ศูนย์บริการดูคาติ ทุกสาขาทั่วประเทศ และหากท่านไหนไปดูรถแล้วบอกว่ามาดูรุ่นนี้เพราะ SuperBike รีวิว ก็จะได้เครื่องดื่ม “ฟรี” แต่หากไม่ได้บอกว่า มาเพราะรีวิว SuperBike ก็จะได้เครื่องดื่ม “ฟรี” เช่นกัน เพราะทาง Ducati มีเครื่องดื่มฟรีไว้บริการอยู่แล้ว แฮร่!! สำหรับโมเดลรุ่นต่อไปจะเป็นรุ่นอะไรจากทางดูคาติก็อย่าลืมฝากติดตามข่าวสารจากทาง SuperBike Thailand กันได้เลย 

เขียนและเรียบเรียงโดย : อาตี๋พันธุ์ซิ่ง

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

Exit mobile version