spot_img
spot_img
spot_img
spot_img

รีวิว Triumph Street Scrambl & Bonneville Bobber

หลังจากที่คราวที่แล้วทาง Triumph ประเทศไทย ได้เชิญเราไปทดสอบเจ้า Bonneville T100 และ Street Cup กันถึงที่จังหวัดเพชรบูรณ์ คราวนี้ก็มาถึงคราวของเลือดใหม่อีกสองรุ่นที่เพิ่งจะเปิดโฉมไปในงาน Motor Expo 2016 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา กับหนึ่งน้องใหม่จากตระกูล Street กับเจ้า Street Scrambler และอีกหนึ่งพี่ใหญ่ กับ Bonneville Bobber โดยเส้นทางในครั้งนี้เราจะได้ร่วมทดสอบรถทั้งสองรุ่นโดยเป็นการขับขี่จากกรุงเทพฯ ไปสู่เขาใหญ่ โดยเริ่มต้นกันที่อาคาร SJ Infinite ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ Triumph Thailand

หลังจากที่เรามาลงทะเบียน และรับฟังบรี๊ฟเกี่ยวกับตัวรถ กติกาการขับขี่และเส้นทางการเดินทางเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงเวลาที่เราจะได้ไปร่วมทดสอบสมรรถนะของรถทั้งสองคันกัน โดยในการขับขี่จะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มที่ขับขี่ Bonneville Bobber และ Street Scrambler

Words & Pics: Man

 

Street Scrambler

ซึ่งในช่วงเช้าของวันนี้เราได้ถูกจับคู่ให้อยู่กับเจ้า Scrambler แวบแรกที่ได้เห็นตัวรถ หากพูดถึงรูปโฉมก็สามารถพูดได้เลยว่า เจ้า Street Scrambler นั้นค่อนข้างที่จะหล่อเหลาเอาการ ไฟหน้าเดี่ยวทรงกลม ประกอบกับท่อไอเสียคู่ยกสูงพาดขนานไปกับตัวถังที่เป็นเอกลักษณ์ของรถในสไตล์นี้ นอกจากนี้ยังมีอกล่างติดมาให้ด้วยทำให้ดูบึกบึนยิ่งขึ้นไปอีก เครื่องยนต์ที่ให้มาเป็นเครื่อง High Torque 900 ซีซี มาพร้อมเกียร์ 5 สปีด

 

แบบเดียวกับรถในตระกูล Street รุ่นอื่นๆ โดยเคลมแรงม้ามาที่ 54 ตัว ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดที่ 80 นิวตันเมตร ที่ 2,850 รอบ/นาที ระบบกันสะเทือนที่ให้มาในส่วนของโช้คหน้าเป็น KYB ขนาด 41 มิลลิเมตร ที่มีระยะยุบตัว 120 มิลลิเมตร ซึ่งสามารถเอาไปขี่ลุยทางฝุ่นได้ประมาณนึงเลยทีเดียวครับ ส่วนโช้คหลังที่ให้มาเป็น KYB คู่ พร้อมกับตัวปรับพรีโหลด ระบบเบรคทั้งหน้าและหลังเป็นจานเบรคแบบเดี่ยวพร้อมระบบเบรค ABS คาลิเปอร์ที่ให้มาเป็นของ Nissin แบบลูกสูบคู่ ซึ่งให้สมรรถนะในการเบรคค่อนข้างดี ล้อหน้าขนาด 19” มาพร้อมกับยาง Metzeler Tourance ขนาด 100/90 ส่วนล้อหลังขนาด 17” 150/70 โดยน้ำหนักรถเปล่าอยู่ที่ 206 กิโลกรัม หากเติมน้ำมันเต็มถังขนาดความจุ 12 ลิตร ก็จะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 218 กิโลกรัมเท่านั้นเองครับ สำหรับข้อมูลการแสดงผลต่างๆ ของตัวรถจะถูกแสดงอยู่บนเรือนไมล์เดี่ยว ที่แสดงค่าต่าง อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น ไฟบอกเกียร์ มาตรวัดระยะทาง 2 ทริป ระยะทางที่วิ่งได้จนน้ำมันหมด  จอแสดงอัตราสิ้นเปลือง  นาฬิกาบอกเวลา  ระบบแทร็คชั่นคอนโทรลที่สามารถเลือกเปิด-ปิดได้ นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ทาง Triumph แอบใส่มาให้ก็จะเป็นเบาะคนซ้อนที่สามารถถอดออกเป็นแร็คหลังไว้มัดของได้ ซึ่งนับว่าเข้าท่ามากๆ เลยล่ะครับ

 

ทั้งนี้เจ้า Street Scrambler นั้นมีถึง 3 สีให้เลือกด้วยกัน ได้แก่สีดำ Jet Black และสี Korosi Red/Frozen Silver ในราคา 475,000 บาท และสี Matt Khaki Green ในราคา 481,500 บาทครับ

มาถึงในส่วนของการขับขี่ เราได้ขี่เจ้า Street Scrambler นั้นลากยาวตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ ไปขึ้นเขาใหญ่ผ่านทางจังหวัดนครนายก ผ่านทางคดเคี้ยวบนเขาใหญ่ ไปลงฝั่งจังหวัดนครราชสีมา ก่อนจะแยกตัวจากกลุ่ม Bobber กันที่อ่างเก็บน้ำบ้านสันกำแพง เพื่อไปทดลองขับขี่เจ้า Scrambler บนทางออฟโร้ดกันที่เขาแผงม้าครับ สำหรับเอกลักษณ์เครื่องยนต์ของเจ้า Street Scrambler นั้นให้แรงบิดสูงในรอบต่ำครับ เรียกได้ว่าถ้าหากเผลอไปปิดแทร็คชั่นคอนโทรล แล้วลืมตัวกระแทกคันเร่งหนักๆ แล้วละก็อาจจะมีหน้าลอยให้เหวอเล่นๆ ได้เลยครับ ซึ่งข้อดีตรงนี้ก็เห็นผลตอนที่เราได้ไปขับขี่ในเส้นทางออฟโร้ดบนเขาแผงม้า ที่ต้องไต่ทางลูกรังชันๆ ขึ้นเขากัน โดยตัวเครื่องยนต์เองก็ทำงานได้สมู้ทยิ่งมาประกอบกับคันเร่งไฟฟ้าที่มีมาให้แล้วยิ่งทำให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้นอีกด้วยครับ สำหรับบนถนนดำโดยรวมก็ถือว่าขับขี่ได้อย่างสนุกครับ เรียกว่าต้นจัดปลายจัดเลยทีเดียว ท่านั่งขับขี่ให้ท่านั่งที่หลังตรง หากขับขี่ด้วยความเร็วสูงๆ ก็อาจจะมีเหนื่อยกับลมปะทะสักหน่อย ถ้าได้ชิลด์หน้าสักอัน น่าจะช่วยได้เยอะครับ และสำหรับท่อที่ยกสูงในระดับน่องนั้นมีส่งความร้อนให้รู้สึกระอุบ้างพอเป็นพิธี แต่แลกมากับความหล่อเหลาของมันแล้วละก็บอกได้เลยว่ายอมทนร้อนครับ!

 

Bonneville Bobber

ในช่วงบ่ายแก่ๆ หลังจากที่เราได้ขับขี่ Street Scrambler มาครึ่งค่อนวันแล้ว ก็ถึงคราวที่จะได้มาลองเจ้า Bonneville Bobber กันบ้างครับ สำหรับรูปโฉมภายนอกนั้นหล่อไม่แพ้กันเลยทีเดียวครับ ดูโฉบเฉี่ยว ดุดัน โดดเด่นด้วยสวิงอาร์มหลังที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ พร้อมกับเบาะนั่งแบบเดี่ยวที่สามารถปรับได้ ท่อไอเสียอลูมิเนียมคู่ให้เสียงที่ดุดัน รูกุญแจด้านข้างตัวถัง มาพร้อมกันกับเครื่องยนต์ High Toque 1,200 ซีซี แบบเดียวกันกับรถในตระกูล Bonneville

โดยให้แรงม้าเคลมมาที่ 76ตัวที่ 6,100 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดที่ 106 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที มาพร้อมกับเกียร์ 6 สปีด ระบบกันสะเทือนที่ให้มาเป็นของ KYB ทั้งหน้าและหลัง โดยโช้คอัพหน้ามาในขนาด 41 มิลลิเมตร มีระยะยุบตัวที่ 90 มิลลิเมตร ส่วนโช้คหลังเป็นแบบกระบอกเดี่ยวพร้อมเหล็กโยงออกแบบเป็นพิเศษวางซ่อนอยู่ใต้เบาะ ระบบเบรคทั้งหน้าและหลังเป็นจานเบรคแบบเดี่ยวพร้อมระบบเบรค ABS คาลิเปอร์ที่ให้มาเป็นของ Nissin แบบลูกสูบคู่ ซึ่งให้สมรรถนะในการเบรคค่อนข้างดี ล้อหน้าขนาด 19” มาพร้อมกับยาง Avon Cobra ขนาด 100/90 ส่วนล้อหลังขนาด 16” 150/80 ในสไตล์รถครูเซอร์ โดยน้ำหนักรถเปล่าอยู่ที่ 228 กิโลกรัม ไม่รวมน้ำมันในถังน้ำมันขนาด 9.1 ลิตร ข้อมูลการแสดงผลต่างๆ ถูกโชว์ผ่านทางหน้าปัดเรือนไมล์เดี่ยวพร้อมบอกข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ไฟบอกเกียร์ มาตรวัดระยะทาง 2 ทริป  ระยะทางที่วิ่งได้จนน้ำมันหมด  จอแสดงอัตราสิ้นเปลือง นาฬิกาบอกเวลา ระบบ Traction Control ที่สามารถเลือกเปิด-ปิดได้ รวมไปถึงโหมดการขับขี่ 2 โหมดก็คือ Road กับ Rain

โดยเจ้า Bonneville Bobber นั้นมีให้เลือกถึง 4 สี ด้วยกัน ได้แก่ Ironstone, Morello Red, Competition Green/Frozen Silver, และ Jet Black โดยสนนราคานั้นอยู่ที่ 570,000 บาท ครับ

สำหรับการขับขี่เจ้า Bonneville Bobber นั้นเราได้ใช้เวลาอยู่กับมันตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันแรกไปตลอดจนขับขี่กลับมาถึงที่ตึกสำนักงานใหญ่ของ Triumph Thailand ในวันถัดมา สิ่งแรกที่รู้สึกและชอบในตัว Bobber เลยก็คือช่วงล่าง ซึ่งตอนแรกเราคิดว่ามันน่าจะสั่นสะเทือนเอาเรื่องตามสไตล์ของรถ แต่ปรากฏว่าโช้คอัพเดี่ยวที่ถูกซ่อนอยู่ใต้เบาะนั้นสามารถทำงานได้เป็นที่น่าพอใจเลยทีเดียวครับ คือมีสั่นบ้างเล็กน้อยให้รู้สึกถึงความเป็น Bobber อยู่ ในส่วนของเครื่องยนต์นั้นให้กำลังที่มาแบบเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ถึงกับกระโชกโฮกฮากแต่ก็มาได้ตามใจสั่ง อีกสิ่งหนึ่งที่แอบชอบในตัว Bobber คงจะเป็นเสียงท่อถึงแม้ว่าจะเป็นท่อเดิมแต่เสียงที่ให้มานั้นมาเป็นลูกๆ ค่อนข้างไพเราะพอตัวเลยล่ะครับ สำหรับท่านั่งขับขี่ให้ท่านั่งขับขี่ที่หลังตรง แต่ด้วยความที่เบาะนั่งนั้นค่อนข้างต่ำ (690 มม.) ทำให้ปัญหาเรื่องลมปะทะนั้นไม่ส่งผลเท่าไหร่ครับ ในส่วนของการควบคุม ตัวรถเองสามารถพลิกไปมาได้ง่ายกว่ารูปโฉมที่ดูใหญ่โตครับ ขับขี่เจอรถติดๆ ในเมืองตอนขากลับเข้ามา กลายเป็นว่ารถเล็กมุดซอกแซกได้ยังไงเราก็ไปได้ยังงั้นเลยครับ

จากการที่ได้ขับขี่รถทั้งสองคันในระยะทางสั้นๆ ต้องบอกเลยครับว่าทั้งคู่โดดเด่นและมีเสน่ห์ไปคนละแบบ ถ้าเกิดตอนนี้ผู้อ่านกำลังอ่านคอลัมน์นี้แล้วเกิดกิเลสอยู่ภายในทรวง อยากจะได้สักคัน แนะนำหากชอบลุยๆ Scrambler ไม่ทำให้ผิดหวังแน่ๆ แต่ถ้าหากยังโสด อยากจะออกร่อนให้สาวๆ เหลียวก็จัด Bobber ได้เลยครับ แต่หากจะให้ดีมีไว้ทั้งสองคันสองสไตล์ก็ไม่ผิดนะครับ! หรือถ้ายังไม่แน่ใจอยากจะลองขับขี่ก็สามารถติดต่อตัวแทนจำหน่าย Triumph ใกล้บ้านท่านได้เลยครับผม ส่วนใครยังลังเลอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมไปที่ www.triumphmotorcycles.co.th

- Advertisement -

บทความยอดนิยม

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่