Home New Bike XSR900 GP สปอร์ตคลาสสิก ดีไซน์จากยุคทองของ Yamaha

XSR900 GP สปอร์ตคลาสสิก ดีไซน์จากยุคทองของ Yamaha

0

XSR900 GP สปอร์ตคลาสสิก ดีไซน์จากยุคทองของ Yamaha

เปิดตัวแล้วกับโมเดลสปอร์ตคลาสสิก Yamaha XSR900 GP 2024 โดยไปเผยโฉมคันจริงที่แรกในงาน Japan Mobility Show 2023 ซึ่งมีดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรถแข่งจากช่วงยุคทองกับการแข่งขันชิงแชมป์โลกในอดีตของยามาฮ่า ผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ กลายเป็นความลงตัวกลมกล่อมที่ไม่เพียงแต่หล่อคลาสสิก แต่ยังขี่ได้ดีแบบรถโมเดิร์นอีกด้วย

เรื่องดีไซน์แน่นอนว่าได้แรงบันดาลใจมาจากรถแข่งกรังด์ปรีซ์ในยุค 80 และ 90 ทั้งสไตล์และสีสัน แบบเดียวกับ YZR500 ช่วงปี 80 ที่มีตำนานอย่าง King Kenny Roberts ควบคว้าชัยชนะหลายปีติดต่อกัน โดยนำสีสันในโมเดลรถแข่งมาใส่ให้กับเจ้าโมเดลใหม่คันนี้ได้อย่างลงตัว ทั้งในแฟริ่ง แชสซีและสวิงอาร์ม

ด้านหน้ามีแฟริ่งหน้าสไตล์สปอร์ตคลาสสิกพร้อมไฟหน้าขนาดกะทัดรัดแบบ LED ทรงเหลี่ยมมาแทนที่ไฟกลม ชิลด์หน้าพร้อมตัวการ์ดกำปั้นด้านข้างซ้ายขวาตามแบบยุค 80 นอกจากนี้แฟริ่งหน้าที่ว่ายังช่วยเพิ่มอัตราเร่งและท็อปสปีดให้กับตัวรถได้ ถัดเข้ามาด้านในมีหน้าจอสี TFT ขนาด 5 นิ้วที่เลือกธีมการแสดงผลได้ 4 แบบ พร้อมเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย

ขณะที่แฟริ่งชิ้นข้างช่วยกระจายความร้อนจากหม้อน้ำได้ดียิ่งขึ้น ด้านท้ายมีครอบเบาะท้ายทำสีเข้ากับตัวรถและช่วยเสริมภาพรถแข่งได้เป็นอย่างดี และยังมีไฟท้ายแบบซ้อนในแฟริ่งดูเท่ไม่หยอก เบาะนั่งเองก็มีส่วนโค้งขึ้นมารับ ยามเปิดคันเร่งก็ขับขี่ได้มั่นใจขึ้น

ตัวรถปรับมาใช้แฮนด์แบบคลิปออนแบบเหนือแผงคอบนแทนที่แฮนด์บาร์เพื่อให้มันมีความเป็นสปอร์ตเรซซิ่ง แตกต่างจากโมเดลพื้นฐาน ทำให้ท่านั่งมาเป็นแบบสปอร์ตมากขึ้นด้วย แต่ถึงอย่างนั้นโมเดลนี้ก็ไม่ได้ออกแบบมาให้เน้นใช้งานแต่ในการแข่งขันหรือในสนาม จึงไม่ได้มีท่านั่งแบบเรซซิ่งหรือสปอร์ตจ๋า ๆ โดยยังคงความสบายเอาไว้ และให้พักเท้าที่ปรับตำแหน่งได้เพื่อให้ปรับตามความใจชอบว่าจะเน้นซิ่งหรือเน้นสบาย

เครื่องยนต์นั้นยังคงเป็นเครื่องยนต์เดิมคือ CP3 3 สูบเรียง ขนาด 890 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่ผ่านมาตรฐาน EU5+ ให้กำลังแรง 119 แรงม้าที่ 10,000 รอบ และแรงบิดสูงสุดที่ 93 นิวตันเมตรที่ 7,000 รอบ ใช้น้ำมันจากถังน้ำมันขนาด 14 ลิตร

ช่วงล่างที่ให้มาก็มีการปรับให้เข้ากับสไตล์ที่เป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น เพื่อให้รองรับกับน้ำหนักโหลดที่ด้านหน้ามากขึ้น ขณะเดียวกันซับเฟรมท้ายก็เสริมความแข็งแรงให้มากขึ้นเช่นกัน เพื่อให้ขับขี่ได้สมดุลมากยิ่งขึ้น 

ระบบกันสะเทือนก็ถือว่าให้ของดีมา โดยด้านหน้าจะเป็นโช้คหัวกลับจาก KYB ปรับแต่งได้เต็มระบบ ขณะที่ด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยวพร้อมกระเดื่องจาก KYB ที่ปรับแต่งได้เต็มระบบเช่นกัน โดยมีการติดตั้งแบบซ่อนไม่ให้เห็นง่าย ๆ เพื่อให้ภาพลักษณ์ดูสปอร์ตเพรียวบาง แต่ก็สามารถปรับใช้งานได้ง่ายด้วยรีโมตปรับพรีโหลด

ขณะที่ระบบเบรกก็จะได้เป็นปั๊มบนเป็น Brembo แบบเรเดียลเมาท์ ทำงานคู่กันกับระบบดิสก์เบรกคู่ขนาด 298 ม.ม. และคาลิเปอร์เบรก ส่วนด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 45 ม.ม. และคาลิเปอร์เบรก ส่วนยางและล้อสปินฟอร์จน้ำหนักเบาจะมีขนาด 120/70 ZR17 และ 180/55 ZR17 แบบไม่ต้องใช้ยางใน

และยังมีส่วนสำคัญที่เกริ่นไว้ข้างต้นที่ว่าเป็นสปอร์ตคลาสสิกแต่ใส่เทคโนโลยีสมัยใหม่เอาไว้ด้วยคือ ระบบ Yamaha Ride Control ที่ช่วยให้เจ้าของสามารถปรับเปลี่ยนความแรงของเครื่องยนต์และระบบช่วยเหลือได้ง่ายและรวดเร็ว โดยจะมีโหมดการขับขี่ 3 โหมดมาจากโรงงาน คือ Sport, Street และ Rain ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ กันตามชื่อเลย และยังปรับคัสตอมได้เองอีก 2 โหมด ซึ่งทั้งหมดนี้ยังอิงข้อมูลจากหน่วยประมวลผลแรงเฉื่อย IMU แบบ 6 แกน ช่วยให้ทำงานได้แม่นยำยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น 

นอกจากนี้ยังมีระบบ ESS หรือไฟเบรกฉุกเฉินที่จะกระพริบถี่ ๆ เมื่อเบรกกะทันหัน แจ้งเตือนคนที่ตามมาให้ระวัง แทร็คชันคอนโทรล สไลด์คอนโทรล ระบบควบคุมการลอยตัวของล้อ ระบบเบรกคอนโทรล ครูซคอนโทรล และควิกชิฟเตอร์แบบ 2 ทาง ตลอดไปจนถึงแอสซิสต์และสลิปเปอร์คลัตช์ 

เรียกว่าให้มาเยอะเลยทีเดียว งานนี้ใครอยากได้สปอร์คคลาสสิกเท่ ๆ สักคันต้องไม่พลาดคันนี้ครับ แต่ราคาก็คาดว่าจะแพงกว่าตัวสแตนดาร์ดดั้งเดิมอีกพอสมควร ส่วนการจำหน่ายในบ้านเราก็คงจะปีหน้าเลยล่ะครับ

อ่านข่าวอื่นๆ จาก Yamaha คลิกที่นี่

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Exit mobile version