ทำไมถึงไม่ใช้บนรถสองล้อ ถึงไม่ใช้ Seamless Gearbox
Seamless Gearbox หรือระบบเกียร์แบบไร้รอยต่อ สุดยอดเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมในโมโตจีพีและการแข่งขันระดับสูง มีคุณสมบัติเปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็วและราบรื่น ลดการสูญเสียแรงบิดเครื่องยนต์ อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ในขณะเร่งความเร็ว อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีดังกล่าว “ยังคง” ไม่ถูกนำมาใช้งานในเวอร์ชันบนท้องถนน แล้วเจ้าระบบนี้มันคืออะไร ทำไมถึงไม่ทำโปรดักท์มาขาย เพราะอะไรกันหล่ะ ?
ซีมเลส เกียร์บ็อกซ์ ถูกทดสอบครั้งแรกเมื่อไหร่?

จุดเริ่มต้นเจ้าระบบเกียร์แบบไร้รอยต่ออย่างที่เรารู้กัน มันมีมาตั้งนานแล้วหล่ะ..ตั้งแต่สมัยเคซี่ย์ สโตนเนอร์ ทดสอบครั้งแรกกับเจ้า RC212V ในปี 2011 ตามด้วยดูคาติในฤดูกาลเดียวกัน และยามาฮ่าในปี 2013 ที่มิซาโน่ ซึ่งตอนนั้นมันเจ๋งมาก ๆ เจ้าระบบนี้ช่วยพัฒนาและขับเคลื่อนศักยภาพตัวแข่งมาไกลไม่น้อยทีเดียว
ซึ่งเจ้าระบบดังกล่าวมีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่าเกียร์ธรรมดา มีเทคโนโลยีพิเศษที่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วขึ้นผ่านองค์ประกอบต่าง ๆ อาทิ
ระบบ Overlapping Gear Engagement : ระบบนี้ช่วยให้เฟืองเกียร์ทำงานซ้อนทับกันในชั่วขณะหนึ่งในระหว่างเปลี่ยนเกียร์ ก่อนที่เกียร์เดิมจะปลดออกไป ซึ่งแตกต่างจากชุดเกียร์ทั่วไปที่ต้องปลดเฟืองเกียร์แผ่นเก่าออกก่อนแล้วจึงเข้าเกียร์ใหม่ ซึ่งมันจะช่วยไม่ให้เครื่องยนต์สูญเสียกำลังในจุดนี้ ไม่ต้องผ่อนคันเร่งเพื่อรอชาร์จรอบใหม่ให้เสียเวลา
คุณสมบัติ | Sequential Gearbox ปกติ | ซิมเลส เกียร์บ็อกซ์ (Overlapping Gear Engagement) |
การเปลี่ยนเกียร์ | ต้องปลดเกียร์เก่าก่อนเข้าเกียร์ใหม่ | เกียร์ใหม่ทำงานซ้อนกับเกียร์เก่า |
Torque Interruption | มีช่วงสูญเสียแรงบิด | ไม่มี หรือมีน้อยมาก |
ความเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ | ช้ากว่า เนื่องจากต้องปลดล็อกเกียร์เดิมก่อน | เร็วขึ้น เพราะไม่มีช่วงสูญเสียแรงบิด |
ความราบรื่น | อาจมีแรงกระชากหรือสะดุดเล็กน้อย | ไม่มีแรงกระชาก เปลี่ยนเกียร์ได้ต่อเนื่อง |
กลไก Multi-Dog Engagement : เป็นกลไกสำคัญที่ใช้ในระบบเกียร์ชุดนี้ โดยออกแบบมาให้เกียร์หลายตัวสามารถมีจุดล็อก (Dogs) หลายตำแหน่ง ทำให้สามารถเข้าเกียร์ได้เร็วขึ้นและราบรื่นกว่าระบบเกียร์ทั่วไป
คุณสมบัติ | Dog Engagement ทั่วไป | Multi-Dog Engagement |
จุดล็อก (Dogs) ต่อเกียร์ | 2-3 จุด | 5-6 จุด หรือมากกว่า |
ความเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ | ช้ากว่า เนื่องจากมีจุดล็อกน้อย | เร็วขึ้นเพราะมีหลายตำแหน่งให้จับเฟืองได้ทันที |
Torque Interruption | มีการสะดุดเล็กน้อย | แทบไม่มี Torque Interruption |
ความราบรื่นของเกียร์ | อาจมีแรงกระชากขณะเปลี่ยนเกียร์ | เปลี่ยนเกียร์ได้ราบรื่นและต่อเนื่องกว่า |
ระบบ Quick Shift และ Auto-Blipper : ในการแข่งขันโมโตจีพี ระบบซิมเลสมักทำงานร่วมกับ Quickshifter (+) และ Auto-Blipper (-) เพื่อการเชนเกียร์ที่รวดเร็วขึ้นทั้งอัป-ดาวน์ อีกทั้งยังลดแรงกระชากจากการทำงานของเอ็นจิ้นเบรก และช่วยให้รถคงความเสถียรขณะเปลี่ยนเกียร์
เหตุผลที่เจ้าชุดเกียร์ซิมเลส ถึงยังไม่ถูกใช้งานในรถเวอร์ชันถนน ?
ต้นทุนผลิตสูง : ซิมเลสเกียร์บ็อกซ์ มีโครงสร้างที่ซับซ้อน ใช้วัสดุเกรดคุณภาพสูงในการผลิตรวมถึงกระบวนการผลิตต้องแม่นยำเป็นอย่างมาก จึงเป็นที่มาของราคาต้นทุนที่ต้องจ่ายมากกว่าชาวบ้านเขา
ความซับซ้อนในการบำรุงรักษา : ซิมเลสเกียร์บ็อกซ์ต้องการการดูแลและการบำรุงรักษาต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลไกภายในที่มีความละเอียดอ่อน เราอาจเห็นภาพง่าย ๆ อย่างการแข่งขันโมโตจีพี ชิ้นส่วนกลไกต่าง ๆ ล้วนได้รับการดูแลจากทีมเทคนิคอย่างใกล้ชิด แต่สำหรับผู้ใช้งานบนท้องถนนทั่วไป การบำรุงรักษาอาจยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
ความทนทานและอายุการใช้งาน : ระบบเกียร์ดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อรีดประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในระยะยาว อาจมีอัตราการสึกหรอที่สูงกว่าและซ่อมแซมเปลี่ยนอะไหล่บ่อยกว่า
ไม่จำเป็นสำหรับการใช้งานบนถนน : การเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีอาจไม่มีผลกระทบมากนัก อีกทั้งบนท้องถนนนั้นมีกฎหมายควบคุมจึงไม่จำเป็นต้องไปขี่ซิ่งให้โดนใบสั่งเลย แต่รถบิ๊กไบค์รุ่นต่าง ๆ ในปัจจุบันนั้นมีเทคโนโลยี ควิกชิฟเตอร์ เข้ามาทดแทน แค่นั้นก็เพียงพอใช้งานแล้ว
นี่จึงเป็นเหตุผลหลัก ๆ ว่าทำไมระบบซิมเลส เกียร์บ็อกซ์ จึงไม่ถูกนำมาใช้งานบนท้องถนน มันมีข้อดีเยอะแยะมากมายก็จริง แต่ทว่าในเรื่องของความซับซ้อน การบำรุงรักษา ความคุ้มค่าในการใช้งาน อีกทั้งในเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนก็เป็นส่วนสำคัญ นี่จึงเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เจ้าระบบนี้ไม่เหมาะกับการใช้งานบนถนนทั่วไปนั่นเอง ซึ่งเอาจริง ๆ แค่ควิกชิฟเตอร์ และแอสซิสต์สลิปเปอร์คลัตช์ หรือแม้กระทั่งชุดเกียร์ออโต้ในรถสกูตเตอร์ก็เพียงพอแล้วสำหรับรถใช้งาน…จริงหรือไม่ ?
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก