สำหรับผมแล้วเครื่องยนต์ที่ถูกลดขนาดลงไปมันสื่อให้เรารู้ถึงสิ่งนึง
สิ่งนั้นก็คือคุณจะได้บางสิ่งบางอย่างน้อยลงนั่นเอง
เราเรียก Crossrunner VFR800F มันว่ารุ่นลดทอนความดุดันซึ่งก็นะ ถ้าคุณชอบรถที่ใช้งานดีมากขึ้นในแบบที่ไม่เกินตัวมากเกินไปมันก็ดีไม่น้อยเลยล่ะครับ ผมไม่ได้จะบอกว่าการที่เราได้รถที่ใช้งานได้ไม่เต็มที่เต็มพลังนั้นมันเป็นเรื่องไม่ดีนะครับ ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด แต่สปอร์ตทัวเรอร์มักจะมีชื่อเรื่องการนำเอารถเก่ามาจับใส่ชุดใหม่
แต่ผมเชื่อว่า Honda ได้สร้างรถที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าที่เคยออกมาอีก 1 รุ่น มันมีจุดประสงค์ของมันเองและมันจะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถในกลุ่มสปอร์ตทัวเรอร์สไตล์แอดเวนเจอร์อย่างแน่นอน มันเปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 เจ้า Crossrunner นั้นบอบช้ำจากการที่มันมีสไตล์อันคลุมเครือและท่านั่งขับขี่ที่ไม่ค่อยดีนัก ย้อนกลับไปเมื่องานเปิดตัวเมื่อปี 2011 ทาง Honda Motor Europe ยอมรับว่ารถคันนี้สร้างขึ้นมาอย่างเร่งรีบ แต่เขาก็พูดอีกด้วยว่ามันดีกว่ามั้ยที่เราจะมีมอเตอร์ไบค์ที่ยอดเยี่ยมน้อยกว่าในคลาสนี้ แทนที่จะไม่มีเลยสักคัน มันช่างเป็นคำพูดที่ดูน่าสนใจระดับนึงเลยละครับ
4 ปีให้หลัง Honda ทุ่มเทเวลาให้กับเจ้า Crossrunner อย่างที่ควรจะเป็นจริงๆ โดยเจ้าโมเดลใหม่นี้ใช้ชิ้นส่วนบางชิ้นที่นำมาจากเจ้า VFR800F ซึ่งรวมถึงเฟรม ซับเฟรมและเครื่องยนต์ด้วย นอกจากนี้แรงม้าและแรงบิดยังคงที่เช่นเดิมซึ่งนั่นก็จะหมายความว่าคุณจะได้แรงม้า 106 ตัวและ 75 นิวตันเมตรจากเครื่องยนต์ V4 ขนาด 784 ซีซี ทว่าหน้าตาของรถที่ดูเทอะทะของรุ่นเดิมนั้นหายไป ถูกแทนที่ด้วยบอดี้และแฟริ่งที่เพรียวบางมากขึ้นสมส่วนมากขึ้น มาพร้อมกับไฟหน้า LED ที่ดูดีลงตัว จากสถานะเดิมที่เป็นรถระดับเริ่มต้นกลายมาเป็นรถพรีเมี่ยมในทันทีเรือนไมล์ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นแบบพื้นดำตัวหนังสือขาว ซึ่งอ่านค่าได้ง่ายมากๆ แม้เจอแสงแดดจ้าเนื่องจากว่าตัวเลขต่างๆ จะสว่างขึ้นด้วยแสงอาทิตย์ เรือนไมลจะแสดงตำแหน่งเกียร์ ค่าของแทร็คชั่นคอนโทรล อัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ย เกจน้ำมันและข้อมูลพื้นฐานทั่วไปที่คุณจำเป็นต้องรู้
ผมสตาร์ทเครื่องมันดู พบว่าเสียงของมันไม่ได้น่าประทับใจมากมายอะไร ทว่ามันไม่มีอะไรที่ปลายท่อจะเอาไม่อยู่ บางทีเปลี่ยนออกก็น่าจะดีขึ้นก็เป็นได้ แต่พอคุณลากเจ้า Crossrunner จนเกิน 6,500 รอบ เสียงดูดอากาศก็ดังขึ้นมากลบหมดและปลดปล่อยเสียงคำรามลึกสุดๆ ออกมา เสียงคำรามนั้นดังขึ้นตามความเร็วรอบจนกระทั่งไปแตะที่เรดไลน์ที่ 12,000 รอบ นี่มันคือเวทมนต์ชัดๆ เพราะนี่คือ VTEC และมันไม่ใช่ว่าดีแต่เห่าแล้วไม่กัดนะครับ เพราะว่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ มันมีแรงม้าและแรงบิดในช่วงรอบกลางมากกว่า หากคุณโยนเจ้า Crossrunner เข้าโค้งถูกเกียร์ ใช้คันเร่งให้ถูก คุณจะได้สัมผัสความหนึบแบบสุดๆ และทำงานของ VTEC ตอนนี้ก็พัฒนาขึ้นจนคุณไม่อาจจะสัมผัสได้ถึงอาการตะกุกตะกักหรือว่าการกระชากจนทำให้การกระจายน้ำหนักที่ดีเสียไป การใช้งานบนถนนนั้นผมพบว่าแทร็คชั่นคอนโทรลนั้นค่อนข้างจะมากเกินไปนิดหน่อย แต่มันก็ช่วยให้คนขับสบายใจได้ในเรื่องความปลอดภัย แทร็คชั่นคอนโทรลนั้นจะมีทั้งหมด 3 ระดับคือระดับ 1 และ 2 และอีกโหมดคือปิดไม่ทำงาน
จากที่กล่าวมาข้างต้นทำให้รถคันนี้เป็นรถแนวทัวริ่ง แต่ผมแปลกใจที่ชิลด์หน้ามันทำไมถึงปรับไม่ได้ ผมเจอลมปะทะเล็กน้อย แต่ผมคิดว่า GIVI น่าจะตอบโจทย์ในเรื่องชิลด์บังลมหน้าได้ดี หากว่าเขาทำไม่ขายน่ะนะ ความสูงของเบาะสามารถปรับได้ที่ 815 มม.กับ 835 มม. ซึ่งฟังดูต่ำ แต่ด้วยตัวเบาะที่ค่อนข้างกว้างก็เลยอาจจะมีผลกับนักบิดร่างเล็ก ก็เลยอยากจะให้ระวังสักหน่อยเวลาต้องจอดรถตรงไฟแดง เพราะหากคุณเสียบาลานซ์ น้ำหนักรถกว่า 242 กก.จะกลายเป็นโทษให้คุณในทันที ถ้าพูดเรื่องความเร็ว Crossrunner นั้นก็ไม่ได้ช้ากว่า VFR800F เท่าไหร่ การได้ขี่มันไปตามเส้นทางยอดฮิตผ่านสามเขื่อนไปยังเมืองโจฮันเนสเบิร์กทำให้ผมรู้สึกได้ว่าเจ้า Crossrunner รับแรงกระแทกได้ดี แต่ก็กระเด้งอยู่หลายครั้งกว่าจะนิ่งได้เหมือนเดิม แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรเนื่องจากว่าโช้คหน้าสามารถปรับแต่งได้เต็มที่และแค่เพียงปรับรีบาวด์แดมปิ้งเล็กน้อย พรีโหลดอีกนิดก็ช่วยให้มันเฟิร์มกว่าเดิมเวลาเจอกับบั๊มพ์หรือว่าโค้งได้แล้ว ท่านั่งขับขี่เองก็ตั้งตรงมากๆ พร้อมกับที่ว่างให้คุณมอบช่วยให้คุณรู้สึกเหมือนเป็นนักแข่ง Honda ได้เลือกใช้ยางอย่างชาญฉลาดโดยใช้ยางดีๆ อย่าง Pirelli Scorpions ให้กับรถซึ่งเราไม่เคยรู้สึกถึงอาการลื่นจากยางเลย
การเบรคของมันก็รู้สึกเหมือนกับดึงคันโยกไม้ เบรคก็พอใช้ได้ แต่คุณต้องออกแรงมากสักนิดหากคุณต้องการเอาให้มันอยู่จริงๆ ทว่าอย่าห่วงไปเพราะถึงแม้ว่าผมจะบอกว่ามันดูแย่ แต่แค่สองนิ้วบีบแรงๆ ก็มากพอแล้วครับ นอกจากนี้รถเองก็ยังมาพร้อมระบบเบรค ABS ที่ยอดเยี่ยมมากอีกด้วย ฟังก์ชั่นเพิ่มเติมนั้นสามารถหาพบได้จากแฮนด์บาร์รวมไปถึงอุ่นมือหรือฮีทกริพที่มีถึง 5 ระดับด้วยกัน ไฟเลี้ยวปิดอัตโนมัติก็มีด้วยครับ
ผมขี่รถกลับมาจากวันแทร็กเดย์ที่เราจัดเองโดยมีเป้าหมายว่าจะทดสอบเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน โดยผมตั้งใจว่าจะทำให้มันเปลืองให้มากที่สุด ผมก้มมองเรือนไมล์และผมก็ตกใจกับตัวเลขที่เห็น ผมขี่เร็วถึง 170 กม./ชม.ยืนพื้นแต่อัตราการสิ้นเปลืองยังทำได้ที่ 5.6 ลิตรต่อ 100 กม. นับว่าไม่เลวเลยล่ะครับ บนเส้นทางไปยังเขื่อนทั้ง 3 เขื่อนที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ผมทำได้ที่ 6.5 ลิตรต่อ 100 กม.ถือว่าดีมั้ยละครับ ด้วยถังน้ำมันขนาด 20.8 ลิตรและขับขี่ตามที่กฏหมายกำหนดเรื่องความเร็วแล้วละก็คุณจะไม่ต้องจอดแวะพักบ่อยๆ เลยล่ะครับ
เจ้า Crossrunner คันใหม่นี้ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมมากๆ ดีกว่ารุ่นเก่าเสียอีก และโดยปกติแล้วผมพูดแบบนี้สักเท่าไหร่นัก แต่สำหรับมันผมจะให้มันเป็นนึงใน 10 คันยอดเยี่ยมเท่าที่ผมเคยขี่มาในปีนี้เลยละครับ
อ่านข่าวสารเพิ่มเติม คลิกทีนี้
ติดตาม Facebook SuperBike คลิกทีนี้