Words: Clinton Pienaar Translate & Edit: Benz Pics: Honda Press
ก่อนที่ผมจะได้ไปขี่รถผมก็พอจะรู้มาว่ามันจะรู้สึกยังไงบ้าง Honda เป็นค่ายรถที่คาดเดาได้ไม่ยากและมักจะเลือกที่จะเอาใจคนส่วนมากแทนที่จะไปสนคนบ้าที่มีอยู่ส่วนน้อยที่มักจะอยากได้อะไรที่มันสุดๆ ตลอด พูดให้เข้าใจง่ายๆ กว่านี้คือ Honda นั้นเลือกวิธีที่จะเดินเกมการตลาดแบบ Toyota นั่นคือทุกคนเลือกที่จะขับมัน แม้มันจะไม่ได้ชนะรายการแข่งต่างๆ มากมาย แต่พยายามที่จะขึ้นโพเดียมให้ได้ทุกๆ ทาง แต่ผมก็ดีใจที่ได้พูดว่าเจ้าโมเดลใหม่คันนี้ของ Honda นั้นทำให้ผมเข้าใจผิดหมดเลย!
ขอผมเริ่มจากการพูดว่า ใช้รูปลักษณ์ภายนอกตัดสินรถนั้นเป็นอะไรที่ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย! ในชีวิตจริงแล้วนั้น มันเล็ก หรูหราและน้ำหนักเบา แค่ได้ลองคร่อมมันก็รู้สึกแล้วว่าเบามากๆ และเหมือนกับรถ 600 ซีซีมากกว่ารถตัวพัน แม้แต่เสียงคำรามของท่อเองก็แตกต่างและมันดังมากเมื่อคิดว่ามันเป็นท่อเดิมติดรถ มันมีชุดสีให้เลือดด้วยกัน 3 แบบสำหรับโมเดลสแตนดาร์ดได้แก่ Matt Ballistic, Black Metallic และ Victory Red และนี่คือรถที่เราได้ทดลองขี่ในสนามเป็นครั้งแรก มาพร้อมยางแบบพร้อมขี่ถนนและพร้อมกับควิกชิฟเตอร์แบบสองทาง (อ็อพชั่นเสริม) ซึ่งเป็นของติดรถสำหรับในรุ่น SP ผมมักจะพูดอยู่เสมอว่า คุณไม่จำเป็นจะต้องขี่ให้ครบ 10 แล็ปเพื่อที่จะบอกว่ารถนั้นเข้าโค้งได้ดีหรือว่าควบคุมได้ดีหรอกครับ แค่ขี่ออกไปจากพิทเลน ลองพลิกซ้ายทีขวาทีก็สามารถทำให้คุณประทับใจได้แล้ว จากจุดนั้นมันก็ยอดเยี่ยมแล้ว แล้วเราจะได้ทดสอบรุ่น SP อีกนะครับ ผมได้สิทธิพิเศษในการออกไปดู Freddie Spencer และ Steve Plater เพื่อลองขี่ดูไลน์อยู่สองสามแล็ป และพวกเขาก็เริ่มต้นดันเรา โชคดีที่ผมรู้จักสนามนี้ดีจากการเคยมาขี่ที่นี่อยู่และช่วยให้ผมยื้ออยู่ได้พักนึง พวกเขาบอกผมว่าไม่ควรจะตามจนใกล้เกินไปนักและมีรถคันอื่นๆ ติดอยู่ในรูปด้วย มันเลยกลายเป็นข้ออ้างของผมและผมก็ใช้มันอยู่ตลอด ฮ่าๆ
ขอผมเล่าอะไรให้คุณฟังอีกหน่อยเกี่ยวกับการทดสอบในสนามเพื่อที่คุณจะได้มุมมองที่ดีขึ้นขึ้นเกี่ยวกับการควบคุมของรถ สนาม Portmao นั้นยาวเกือบๆ 5 กม.และเป็นสนามที่ลุ่มๆ ดอนๆ มากที่สุดในโลกพร้อมกับทางขึ้นเนินอับสายตา มันมีโค้งหักศอกจำนวนนึงและโค้งที่ทำความเร็วได้อีกจำนวนนึง ทั้งหมดเป็นโค้งที่เป็นสันเป็นเนิน และโค้งขวาความเร็วสูงที่ต้องใช้ความกล้าอย่างมากซึ่งเริ่มต้นจากโค้งหลังเต่า พุ่งลงเนินและพอคุณเริ่มได้การยึดเกาะจากการที่คุณแตะกับยอด คุณก็เปลี่ยนเข้าเกียร์ 6 เพื่อเข้าสู่ทางตรงจุดเริ่มและเส้นชัย จากตรงนั้นต้องหมอบหลังแฟริ่งเล็กๆ ผมเห็นเลขบนเรือนไมล์ไปแตะที่ 290 กม./ชม.อยู่แว่บนึง และนั่นก็เป็นช่วงสุดท้ายของวันแล้ว คุณมีจุดเบรคลงเนินเพื่อใช้เกียร์ 3 เข้าโค้งขวา แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่ผมรู้สึกว่าผมเบรคได้ลึกมากพอ มันคือแทร็คที่ต้องใช้รถที่เซ็ตมาได้อย่างเหมาะสมเพื่อทำให้คุณรู้สึกมั่นใจ และทั้งสองคันนี้ก็ทำได้ดี มันจะน่าสนใจมากถ้าเราได้เห็นราคาจริงๆ ของมัน ซึ่งตอนนี้ก็ยังฟันธงไม่ได้ แต่มีข่าวลือว่าจะอยู่ที่ราวๆ 650,000 บาท สำหรับรุ่นธรรมดาซึ่งจะไม่มีควิกชิฟเตอร์ และสำหรับรุ่น SP นั้นไม่น่าเกิน 800,000 บาท อย่าริขี่รถออกจากศูนย์ไปเลยถ้าคุณไม่ได้ซื้อเจ้าควิกชิฟเตอร์มาด้วย มันดีมากๆ มันคือมาตรฐานใหม่และคุณจะสามารถปรับแต่งมันได้ถึง 3 ค่าเพื่อกำหนดว่าจะต้องกดคันเกียร์ลงมากขนาดไหนเพื่อที่จะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลง บลิพคันเร่งพร้อมกับเชนจ์เกียร์ลงนั้นเยี่ยมมากๆ ไม่ช้ารถทุกคันจะต้องมีอย่างแน่นอน พอเบรคเพื่อเข้าโค้ง คุณก็แค่ตั้งสมาธิพยายามไม่ให้ล้อหน้าล็อกก็พอ โอ๊ะ ไม่ต้องสิ คุณมีระบบ IMU 3 แกนที่จะคอยช่วยคุณโดยมันจะทำงานร่วมกับ ABS ดังนั้นคุณก็แค่นั่งอยู่ตรงนั้นและผ่อนคลายแล้วเปลี่ยนเกียร์ลง เพราะรอบของเครื่องยนต์จะเท่ากับความเร็วเอง ไม่พอมันยังมีสลิปเปอร์คลัทช์ที่คอยช่วยคุณเวลาคุณเชนจ์เกียร์ลงเร็วเกินไป ประเด็นคือผมพยายามที่จะบอกว่ามันช่วยพัฒนาทักษะการขับขี่ของคนธรรมดาได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่าทำผิดพลาดเพราะคุณยังต้องใช้ทั้งสองมือในการควบคุมมัน เพราะมันก็ยังเป็นจรวดทางเรียบอยู่ดี
นี่มันคือรถใหม่หมดทั้งคันก็ว่าได้ เพราะว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของชิ้นส่วนหลักๆ นั้นเป็นของใหม่ ขณะที่ CBR ยังคงใช้เครื่องยนต์ 4 สูบเรียงขนาด 998 ซีซี แต่มีการปรับปรุงและเคลมมาว่ามีแรงม้าเพิ่มมากขึ้น 11 แรงม้า พร้อมกับเพดานรอบสูงสุดเพิ่มขึ้น 750 รอบจากเดิม 13,000 รอบ โดยคาดเดาตัวเลขว่าจะอยู่ที่ราวๆ 190 แรงม้า แรงบิดที่รอบต่ำเองก็เพิ่มขึ้นเพื่อให้ใช้งานในท้องถนนได้ดีขึ้น และไม่ว่าคนไหนก็จะต้องชอบที่ได้ขี่มันที่มีสลิปเปอร์คลัทช์ที่ปรับปรุงใหม่ช่วยให้คลัทช์เบาขึ้น 17% ตัวเลขของแรงบิดใกล้เคียงกับโมเดลเดิม แต่มาเร็วขึ้นโดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 11,000 รอบ วาล์วไอเสียช่วยในเรื่องนี้ทำให้รู้สึกถึงแรงชกได้ง่ายขึ้น อัตราส่วนการอัดเพิ่มขึ้น 0.7 กลายเป็น 13.0:1 Honda ไม่ได้กำลังแข่งกับรถทรงพลังทั้งหลายที่อยู่ในท้องตลาด แต่กลับมุ่งหน้าเดินตามทางของตัวเองซึ่งทำให้รถนั้นมีอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นถึง 14% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม แต่ถ้าเทียบกับ CBR900RR ที่เป็นต้นตระกูลจริงๆ นั้นจะเพิ่มมากขึ้นถึง 65% เลยทีเดียว
นี่ยังเป็นรถ 4 สูบคันแรกของ Honda ที่ใช้ระบบคันเร่งไฟฟ้า น้ำหนักที่ลดลงมาจากการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนหลายๆ ชิ้นในเครื่องยนต์และแชสซี ทำให้น้ำหนักรถลงมาเหลือ 195 กก. ส่วนใน SP จะมีถังน้ำมันไทเทเนียมเป็นเจ้าแรกในโลกซึ่งช่วยลดน้ำหนักได้ 1.3 กก.เมื่อเทียบกับโมเดลปกติ น่าสนใจมากที่น้ำหนักของรถลดลงจนทำให้รถนั้นรู้สึกเบาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในรุ่น SP จะมาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบลิเทียมไอออนซึ่งเบากว่า 1 กก. คาลิเปอร์ Tokico นั้นใช้ในรถรุ่นปกติ แต่ใน SP จะเป็นของ Brembo และจะเพิ่มระบบกันสะเทือนไฟฟ้าของ Ohlins เข้ามาด้วย ในขณะที่โมเดลธรรมดาจะใช้โช้คจากทาง Showa เป็นการขยายคอนเซ็ปต์แนวคิดที่ว่า “Total Control” ด้วยการใช้ระบบกันสะเทือนไฟฟ้า ด้วยระบบนี้เมื่อเซ็ตไว้ที่อัตโนมัติมันจะคอบปรับค่าอัตโนมัติให้เข้ากับเทคนิคการขับขี่และความเร็วของคุณ พวกเขาแบ่งโค้งทุกโค้งเป็นสามส่วน สำหรับผมที่เคยแข่งขันมาก่อนก็มักจะได้รถที่เซ็ตไว้ดีมาตลอด Honda นั้นจะมีโซนเบรค โซนกลางโค้งและโซนเปิดคันเร่ง ตอนคุณอยู่ในแทร็คและคุณตัดสินใจว่าที่โค้งใดโค้งหนึ่ง (มันก็น่าจะเป็นโค้งที่คุณจะต้องเบรคหนักที่สุด) รถจะทำอะไรบางอย่างที่คุณไม่ชอบ แต่คุณสามารถกลับเข้าพิทและพบว่ามันเป็นเพราะลักษณะของการเบรค การเซ็ตรถส่วนอื่นๆ สำหรับกลางโค้งและการเปิดคันเร่งนั้นยังคงเหมือนเดิม คุณสามารถที่จะทำมันซ้ำๆ จนกระทั่งคุณสามารถเบรคได้อย่างถูกต้อง 100% จากนั้นคุณสามรถที่จะเตรียมรถในส่วนต่อไปได้
ในเรื่องยากๆ แบบนี้ผมมี Freddie เป็นเหมือนกับช่างเทคนิคให้กับผม ทุกๆ 2 แล็ปผมจะกลับเข้าพิทและ Freddie จะมาปรับแต่งให้ใหม่ ผมรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงและบางครั้งก็เป็นความผิดพลาด แต่ไม่ได้มีการใช้ไขควงใดๆ และคุณสามารถปรับเป็นเหมือนเดิมได้ทุกครั้งโดยง่าย นี่ผมยังไม่ได้พูดถึงเรื่องระบบช่วยเหลือคนขับอย่างอื่นๆ เลยนะครับ มันยังมีระบบป้องกันการลอยตัวของล้อหลัง ซึ่งจะค่อยๆ ปล่อยเบรคหน้าจนมากพอที่จะให้ล้อหลังค่อยๆ ตกลง นอกจากนี้ยังมีแทร็คชั่นคอนโทรล 9 ระดับซึ่งสามารถปิดได้ด้วยถ้าคุณต้องการ ระบบป้องกันการยกล้อซึ่งจะสัมพันธ์กันกับแทร็คชั่นคอนโทรล เซ็นเซอร์ IMU จะส่งข้อมูลทุกๆ 10 มิลลิวินาทีเพื่อให้ตอบสนองได้ทันเวลา ผมพยายามจะชี้ให้เห็นว่าจุดไหนที่คุณควรเชื่อใจระบบอิเล็กทรอนิกส์ และพยายามที่จะเปิดคันเร่งออกจากโค้งให้เต็มที่ และเมื่อล้อหน้ามันลอยสูงเกินไป ระบบกันยกล้อจะตัดกำลังเครื่องลง ทว่ามันไม่ส่งกำลังกลับมาให้ทันทีนะ ผมก็เลยพบว่าผมขี่รถในรูปแบบเดิมๆ ซึ่งผมจะต้องคอยควบคุมการลอยของล้อหน้า แต่ผมมีตัวช่วยเหมือนร่มชูชีพที่หลังผมคอยรั้งไม่ให้ผมไปไกลมากเกิน ผมเริ่มทำเวลาต่อแล็ปได้เร็วขึ้น ถึงแม้ระบบอิเล็กทรอนิกส์จะยอดเยี่ยม แต่คุณเองก็ต้องไม่ฝืนมัน แต่ต้องใช้มันให้เป็นเหมือนตัวช่วยเสริมความปลอดภัยคุณ คุณมีโหมดเลือกระดับแรงม้า 5 ระดับซึ่งจะให้แรงม้าคุณทั้งหมดในทุกเกียร์ในระดับที่ 1 หรือจะปรับให้ได้แรงม้าเต็มที่ที่ช่วง 2 – 3 เกียร์ท้ายก็ได้ ส่วนในระดับ 5 จะเป็นระดับสำหรับใช้เวลาฝนตก นอกจากนี้แล้วคุณยังสามารถปรับระดับของเอ็นจิ้นเบรคได้อีก 3 ระดับ
หน้าจอเรือนไมล์เองก็เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับโลกซูเปอร์ไบค์ คุณจะมีรูปแบบการแสดงผลให้เลือก 2 แบบ โดยเลือกได้จากการกดปุ่ม มีแบบโหมดขี่ในสนามและขี่ถนน พอคุณกลับเข้ามาที่พิท คุณก็จะมีโหมดเมคานิกซึ่งจะแสดงผลข้อมูลสำคัญต่างๆ เสมือนตรวจดูสุขภาพของรถคุณ
หากถามว่าเทียบเจ้า Fireblade คันนี้กับค่ายอื่นแล้วเป็นไงบ้าง? ผมจะตอบในแบบที่ซื่อตรงที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ละกันครับ ผมยังไม่รู้ว่า Suzuki คันใหม่จะดีแค่ไหน แต่ผมเคยใช้เวลาขี่คันอื่นมาพักนึง ผมรู้สึกว่าเจ้า Fireblade คันนี้เร็ว แต่เป็นตอนที่ผมอยู่ที่ระดับน้ำทะเล มันจึงต่างอยู่ 17% ด้วยกัน แต่ผมก็จะบอกว่าเจ้า RR ของ BMW ยังคงเร็วกว่า แต่ก็เพียงเล็กน้อย สิ่งที่ผมจะบอกได้คือ ผมรู้สึกว่ามั่นใจ โดยเฉพาะโช้คอัพใหม่ใน SP คือมาตรฐานใหม่ของทางค่าย เช่นเดียวกับควิกชิฟเตอร์แบบสองทาง เรือนไมล์นั้นถอดมาจากรถยนต์แพงๆ เลย และรถเองก็ขี่ง่ายและขี่ได้เร็วด้วย Honda นั้นใช้เวลายาวนานมากกว่าจะเข็นเจ้าคันนี้ออกมาได้ ผมเองยังไม่เห็นข้อบกพร่องอะไรมากนัก บางทีอาจจะเป็นเรื่องของระบบกันยกล้อก็ได้ ถ้าเกิดเซ็ตให้มันพอดีได้ง่ายๆ ก็จะดีมาก ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทำให้รถนั้นเร็วขึ้นและขี่ได้ปลอดภัยมากขึ้น และผมคาดว่ามันน่าจะขายดีเพราะอ็อพชั่นที่ให้มานั้นดีมากๆ ผมล่ะอยากเห็นมันอยู่ในโรงรถผมจริงๆ เลย แล้วอย่าตกใจล่ะครับที่ Honda นั้นจะแย่งส่วนแบ่งกลับคืนมาได้ เพราะว่ารถเขาดีจริงๆ