Home รถไฟฟ้า BMW CE 04 เปิดตัวแล้วในฐานะสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันล่าสุดของค่าย

BMW CE 04 เปิดตัวแล้วในฐานะสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันล่าสุดของค่าย

0
BMW-CE-04-2021

BMW CE 04 เปิดตัวแล้วในฐานะสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันล่าสุดของค่าย

 

สำหรับเจ้าสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันนี้ เริ่มต้นด้วยการเป็นคอนเซ็ปต์สกู๊ตเตอร์ในปี 2017 และในปี 2020 ก็เผยโฉมอีกครั้งในฐานะโมเดลที่ใกล้เคียงกับการผลิตจริง จนกระทั่งล่าสุดในวันที่ 7 เดือน 7 หรือเดือนกรกฎาคมนี้เอง เป็นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่มีดีไซน์ล้ำยุคพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยสมกับเป็นรถจากค่ายใบพัดสีฟ้า 

ตัว BMW CE 04 ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุดมากถึง 31 กิโลวัตต์ หรือ 42 แรงม้า วางบนแชสซีน้ำหนักเบาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำอีกด้วย โดยมอเตอร์ไฟฟ้านั้นจะวางอยู่ในเฟรมอยู่ระหว่างแบตเตอรี่และล้อหลัง ในลักษณะคล้ายกับรถยนต์ของทางค่าย

นอกจากนี้เคลมว่าสามารถทำความเร็วจาก 0 – 50 กม./ชม.ใน 2.6 วินาทีเท่านั้น (มีเวอร์ชันสำหรับใบขับขี่แบบ A1 ที่จะลดกำลังลงเหลือ 23 กิโลวัตต์หรือ 31 แรงม้าด้วย) 

และยังเคลมท็อปสปีดมาที่ 120 กม./ชม. เพื่อให้ใช้งานนอกเมือง หรือบนมอเตอร์เวย์ได้อีกด้วย เรียกว่าไม่ใช่รถใช้งานในเมืองอย่างเดียวนั่นเอง 

 

ตัวรถมีแบตเตอรี่ความจุสูงถึง 60.6 แอมแปร์ชั่วโมงหรือ 8.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทำการได้ที่ราวๆ 130 กม. (รุ่นลดกำลังใช้งานได้ 100 กม.) ช่วยให้ขับขี่ใช้งานในทุกๆ วันในเมือง หรือในชีวิตประจำวันได้อย่างอิสระ หรือจะใช้เดินทางในช่วงสุดสัปดาห์ที่ไม่ไกลมากก็พอไหว 

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ให้มามีระบบชาร์จในตัวสามารถใช้ชาร์จกับปลั๊กไฟบ้าน ชุดชาร์จแบบวอลล์บ็อกซ์ หรือสถานีชาร์จสาธารณะได้เลย โดยใช้เวลาชาร์จจาก 0 ถึง 100 % ใช้เพียง 4 ชั่วโมง 20 นาทีเท่านั้น และสำหรับชุดชาร์จเร็วที่ต้องซื้อเพิ่มนั้นสามารถรับกระแสไฟได้มากถึง 6.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง มากกว่าปกติ 3 เท่า (ชุดสายชาร์ตปกติที่มากับรถอยู่ที่ 2.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง) ทำให้ชาร์จจนเต็มได้ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 40 นาทีเท่านั้น 

หากชาร์จด้วยชุดชาร์จเร็ว โดยเริ่มที่ระดับ 20% ไปจนถึง 80% นั้นจะใช้เวลาเพียง 45 นาทีเท่านั้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับท้องที่และจุดจ่ายไฟด้วย 

หากชาร์จกับชุดชาร์จวอลล์บ็อกซ์ที่บ้านหรือตามสถานีชาร์จ หากต้องการใช้ระบบชาร์จเร็วจะต้องใช้สาย A Mode 3 เพิ่มเติม เหมือนกับรถยนต์ของทางค่าย

 

ในส่วนของช่วงล่างนั้น ด้านหน้าจะมีโช้คเทเลสโคปิกพร้อมขนาดแกน 35 มม. ด้านหลังเป็นสวิงอาร์มเดี่ยวและโช้คเดี่ยวที่สามารถปรับแดมปิ้งได้ โดยขนาดล้อจะเป็น 15 นิ้วทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยใช้ยาง Pirelli Rosso Scooter มีขนาดยางดังนี้ 120/70 R15 67H และ 160/60 R15 56H ตามลำดับ 

ส่วนระบบเบรกค่อนข้างจัดเต็ม ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกคู่ และด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวพร้อมระบบเบรก ABS หรือจะเลือก ABS Pro แบบใช้งานในโค้งได้โดยต้องจ่ายเงินเพิ่ม เรียกว่าปลอดภัยขั้นสุด 

ทีเด่นสุดๆ เห็นจะเป็นหน้าจอแสดงผลสี TFT ขนาด 10.25 นิ้ว แสดงผลข้อมูลได้ครบถ้วน พร้อมระบบนำทางในตัว เรียกว่าใหญ่ที่สุดในวงการมอเตอร์ไซค์เลยล่ะครับ นอกจากนี้ระบบไฟส่องสว่างก็เป็น LED เต็มระบบ และสามารถติดตั้งระบบ Adaptive Headlight Pro และระบบไฟพิเศษ (ระบบไฟพิเศษคือไฟ Welcome Light และ Good bye light) เพิ่มเติมได้ 

ในส่วนของระบบความปลอดภัยตัวรถจะมีระบบควบคุมเสถียนภาพอัตโนมัติ หรือ Automatic Stability Control มาควบคุมแรงบิดที่จะทำให้ล้อหลังเกิดการสลิปอีกด้วย หรือจะติดตั้งระบบไดนามิกแทร็คชันคอนโทรลเพิ่มก็ต้องเสียเงินเพิ่มเอาก็ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในอีกระดับ 

 

ตัวรถยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 โหมดให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ เช่น โหมด Eco โหมด Rain และ โหมด Road หรือจะเสียเงินเพิ่มเพื่อใช้งานโหมด Dynamic ที่จะปรับให้การขับขี่ได้ลื่นไหล เร่งแรงได้มากขึ้นก็ทำได้

สำหรับฟังก์ชันอำนวยความสะดวกอย่างช่องเก็บของตามแบบที่สกู๊ตเตอร์ควรจะมีนั้นมีทั้งด้านหน้าและใต้เบาะ ไม่สิ ด้านข้างมากกว่า ซึ่งสามารถเก็บหมวกกันน็อกโอเพ่นเฟซได้ 1 ใบ มีช่องจ่ายไฟด้านหน้า 

สุดท้ายนี้ตัวจะจำหน่ายในชุดสีขาว Light White แต่งแต้มให้ลงตัวด้วยสีดำด้านหน้าที่ด้านหน้า ด้านข้างและเบาะ ส่วนโมเดลที่เห็นในภาพแอ็กชันและที่เห็นเป็นสีดำๆ และสีส้มนี้จะเป็นชุดสีพิเศษเชื่อว่า Avantgarde Style ซึ่งต้องจ่ายเงินเพิ่มครับ แต่ก็สวยงามกว่าเห็นๆ ครับผม 

ส่วนสนนราคานั้นจะยังไม่ระบุ แต่จากคาดการณ์ราคาน่าจะใกล้เคียงหรืออาจจะแพงกว่า C 400 GT เป็นแน่ครับ

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Exit mobile version