เทคโนโลยีเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ภายในงาน Motor Show 2025

สิ้นสุดไปแล้วเป็นที่เรียบร้อยกับงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 หรือ Motor Show 2025 โดยในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้ธีมงาน “The Talk of Sensuous Automotive” ซึ่งมีผู้ประกอบการยานยนต์จากประเทศทางฝั่งยุโรป และเอเชีย โดยผู้ผลิตจากฝั่งรถยนต์ 41 ราย และรถจักรยานยนต์อีก 13 ราย ซึ่งในบทความนี้จะเล่าถึงในพาร์ทของฝั่งรถจักรยานยนต์ที่ในบางค่ายก็ขนเทคโนโลยีเจ๋ง ๆ มาอย่างไม่แพ้กัน
เทคโนโลยีเกี่ยวกับระบบขับเคลื่อน
ในยุคสมัยปัจจุบันการทำสิ่งต่าง ๆ ก็จะเน้นไปที่ความสะดวกสบายเป็นหลัก แม้กระทั่งวงการยานยนต์เองก็เช่นกัน ในยุคก่อนการจะขับรถจักรยานยนต์แนวสปอร์ต ครุยเซอร์ หรือแอดเวนเจอร์ผู้อ่านทุกคนก็คงทราบกันดีว่าอีกหนึ่งสิ่งที่สร้างความสนุกนอกจากเส้นทาง ก็คงหนีไม่พ้นการเข้าเกียร์ที่ต้อง ‘กำคลัตซ์’ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในงานนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเทคโนโลยีของสังคม ‘ไร้คลัตซ์’
ค่ายใบพัดสีฟ้ามาพร้อมเกียร์ ‘BMW ASA’

เริ่มบทความนี้ด้วยรถจักรยานยนต์จากที่ค่ายใบพัดสีฟ้า BMW Motorrad ที่ภายในงานได้ทำการเปิดตัวสายลุยแอดเวนเจอร์อย่าง ‘BMW R1300 GS Adventure’ รถจักรยานยนต์สไตล์แอดเวนเจอร์ที่พร้อมพาผู้ขับขี่ลุยได้อย่างมั่นใจในทุกเส้นทาง

ซึ่งที่น่าสนใจของเจ้า R1300 GSA คันนี้ มันมาพร้อมกับระบบ BMW ASA ว่าแต่ไอเจ้า ASA มันคืออะไร ?
BMW ASA หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Automated Shift Assistant ที่เป็นระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติของรถจักรยานยนต์ค่าย BMW ซึ่งเจ้าเกียร์ที่ว่านี้ถูกใช้งานเป็นครั้งแรกใน BMW R1300 GSA โดยตัวรถจะไม่มีก้านคลัตช์ให้ใช้งาน เพราะรถสามารถออกตัว, เปลี่ยนเกียร์ และหยุดรถได้โดยไม่ต้องกำคลัตช์อีกต่อไป
โดยระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ (ASA) จะเป็นการสั่งงานคลัตช์อัตโนมัติเต็มรูปแบบ และมาพร้อมการเปลี่ยนเกียร์แบบแมนนวลหรือแบบอัตโนมัติที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกได้ เพื่อความเพลิดเพลินในการขับขี่มากยิ่งขึ้น ทำให้การขี่มอเตอร์ไซค์ง่ายขึ้นและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ตามคติ “ทำให้การขับขี่ของคุณง่ายขึ้น”

หลักการทำงานของ BMW ASA คือ ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติได้ตลอดการขับขี่ ตั้งแต่การออกตัว, เปลี่ยนเกียร์ และหยุดรถ โดยที่ไม่ต้องกำก้านคลัตช์แต่อย่างใด อีกทั้งตัวรถก็ไม่มีก้านคลัตช์ติดตั้งมาให้จากโรงงานด้วย เพราะตัวระบบ ASA จะทำการควบคุมคลัตช์ให้ทั้งหมดแล้ว
แต่ถ้าในกรณีที่อยากเปลี่ยนเกียร์ด้วยตนเอง ก็ยังสามารถทำได้ด้วยการเลือกการเปลี่ยนเกียร์แบบ M หรือแมนนวล ผู้ขับขี่สามารถใช้เท้าซ้ายเปลี่ยนเกียร์ได้ตามปกติ
ส้อมเกียร์กับเกียร์ Y-AMT
Y-AMT หรือว่าง่าย ๆ ก็คือระบบ Yamaha Automated Manual Transmission (Y-AMT) เป็นเทคโนโลยีที่ยามาฮ่าพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความสนุกในการขับขี่ โดยทำงานผ่านการควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้โดยไม่ต้องใช้ก้านคลัตช์หรือคันเกียร์ที่เท้า

หลักการทำงานของระบบ Y-AMT จะมีโหมดการขับขี่ให้เลือก 2 โหมดได้แก่ MT และ AT โดยการขับขี่ในโหมด MT (Manual Transmission) ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ด้วยตนเองโดยใช้สวิตช์ที่แฮนด์ด้านซ้าย ซึ่งประกอบด้วยปุ่ม (+) สำหรับเพิ่มเกียร์และปุ่ม (-) สำหรับลดเกียร์ การเปลี่ยนเกียร์ทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

โหมด AT (Automatic Transmission) โดยระบบจะเปลี่ยนเกียร์ให้อัตโนมัติตามสภาวะการขับขี่ โดยมีสองโหมดย่อย ประกอบไปด้วย โหมด D เน้นการเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวล เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมืองหรือการขับขี่ที่ต้องการความสบาย โหมด D+ เน้นการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็ว และสปอร์ต เหมาะสำหรับการขับขี่ที่ผู้ขับขี่ต้องการความเร้าใจ

ซึ่งปัจจุบันระบบเกียร์ของ Yamaha Y-AMT ถูกติดตั้งอยู่ในรถจักรยานยนต์ Yamaha ในโมเดล ‘MT-09 Y-AMT’ เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น วางจำหน่ายอยู่ที่ราคา 519,000 บาท
ค่ายปีกนกกับระบบ Honda E-Clutch
Honda E-Clutch เป็นเทคโนโลยีคลัตช์ไฟฟ้าล่าสุดจากฮอนด้า ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้โดยไม่ต้องใช้ก้านคลัตช์ ทำให้การขับขี่มอเตอร์ไซค์เป็นไปอย่างสะดวกสบายและราบรื่นยิ่งขึ้น ซึ่งหลักการทำงานของเจ้า E-Clutch นี้จะใช้ในส่วนของระบบมอเตอร์ไฟฟ้าควบคุมคลัตช์ซึ่งระบบนี้ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวในการควบคุมการทำงานของคลัตช์ โดยมอเตอร์เหล่านี้จะทำงานร่วมกับกล่องควบคุม MCU (Motor Control Unit) และ ECU (Engine Control Unit) เพื่อประมวลผลและสั่งการให้คลัตช์ทำงานอย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น

การเปลี่ยนเกียร์โดยไม่ใช้ก้านคลัตช์ ใช่แล้วครับ ต่อไปนี้รถจักรยานยนต์ของทางฮอนด้ารุ่นไหนถ้ามีคำว่า E-Clutch แปะอยู่ ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลงได้โดยไม่ต้องบีบก้านคลัตช์ ระบบจะจัดการการตัดต่อกำลังให้โดยอัตโนมัติ ทำให้การเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างราบรื่น รวมไปถึงการออกตัวและหยุดรถ ระบบ E-Clutch ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถออกตัวหรือหยุดรถได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการบีบคลัตช์หรือการดับเครื่องยนต์ แม้จะอยู่ในเกียร์สูง
โดยรถจักรยานยนต์จากค่ายฮอนด้าที่มาพร้อมระบบ E-Clutch เดิมทีจะมาแค่ในรุ่น Honda CBR650R และ CB650R แต่ปัจจุบันเพิ่มมาอีก 2 รุ่นได้แก่ Honda Rebel 300 E-Clutch และ Honda CL300 E-Clutch
วิวัฒนาการหน้าจอล้ำสมัยในงาน Motor Show 2025
นอกจากเรื่องของระบบขับเคลื่อนแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นการพัฒนาการของวงการยานยนต์ก็คงหนีไม่พ้นในเรื่องของเทคโนโลยีหน้าจอ ที่เรียกได้ว่าแต่ละค่ายก็ต่างงัดไม้เด็ดนำเทคโนโลยีหน้าจอมาอัดใส่ในรถระดับตัวธงของค่าย และบางค่ายก็ใส่เทคโนโลยีดังกล่าวมาตั้งแต่เครื่องยนต์ขนาด 160 ซีซีเลยทีเดียว

เริ่มจากทางค่ายปีกนก ซึ่งก็เป็นที่ฮือฮาอยู่ไม่น้อยสำหรับค่ายรถจักรยานยนต์ของทางฮอนด้ากับการพัฒนา ‘หน้าจอกลางใหม่’ เพราะแต่เดิมในรถแต่ละโมเดลของทางฮอนด้าก็มีหน้าจอที่เป็นเฉพาะในแต่ละโมเดลเท่านั้น แต่เมื่อไม่นานมานี้ทางฮอนด้าก็ได้ทำการพัฒนาหน้าจอสีแบบ TFT ขนาด 5 นิ้วที่มีคุณสมบัติในการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านแอพพลิเคชัน Honda RoadSync
ภาพรวมของหน้าจอรูปแบบใหม่จากทางฮอนด้านี้เรียกได้เลยว่า ‘ใช้ง่าย’ แสดงข้อมูลการขับขี่ครบครัน UX และ UI ถือว่าทำออกมาได้ดี ขั้นตอนการเข้าไปกดเลือกฟังก์ชันต่าง ๆ สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย ไม่ซับซ้อน ซึ่งจอดังกล่าวนั้นถูกติดตั้งมาตั้งแต่คลาสระดับ 160 ซีซีอย่าง Honda PCX โฉมปี 2025

ไม่เพียงแค่ค่ายฮอนด้าที่มีหน้าจอแบบ TFT แต่ทางค่ายส้อมเสียง Yamaha เองก็มีเช่นเดียวกัน โดยหน้าจอกลางของรถจักรยานยนต์จากค่ายยามาฮ่าก็มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ซึ่งการออกแบบดีไซน์จะเป็นหน้าจอแบบ Dual Display แบบบนและล่าง รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านแอพพลิเคชัน Yamaha Y-Connect
ซึ่งการทำงานของหน้าจอนี้ก็คล้าย ๆ กับทางฮอนด้าที่แสดงผลข้อมูลการขับขี่ต่าง ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจ และเพิ่มความเป็นพิเศษของจอนี้คือการพ่วงมาด้วยเทคโนโลยีนำทาง Garmin StreetCross ที่จะแสดงผลใกล้เคียงกับ Google Map ซึ่งจะมีความแตกต่างกับทางฮอนด้าที่เป็นการนำทางแบบ Turn by Turn เท่านั้น และหน้าจอนี้จะถูกบรรจุแค่ในรถจักรยานยนต์ตระกูล Max Series เท่านั้น

ไม่เพียงแค่ฝั่งค่ายรถจากประเทศญี่ปุ่นที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ ทางฝั่งแบรนด์รถจักรยานยนต์จากยุโรปเองก็ไม่น้อยหน้า อย่างเช่นหน้าจอของค่ายใบพัดสีฟ้า จากรุ่น R1300 GS รถจักรยานยนต์สายแอดเวนเจอร์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีหน้าจอช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลการขับขี่ และรายละเอียดต่าง ๆ ของตัวรถสามารถตรวจสอบได้เพียงแค่ปลายนิ้ว การปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ หรือการเปิด-ปิดเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ต่าง ๆ ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
เทคโนโลยีจากรถยนต์สู่รถจักรยานยนต์
เมื่อเทคโนโลยีความของวงการรถยนต์มีความก้าวล้ำอย่างมากในปัจจุบัน จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่วงการรถจักรยานยนต์จะมีการพัฒนา และเพิ่มเติมเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้เทียบเท่ารถยนต์ หลายระบบทันสมัยถูกนำมาปรับใช้ ตั้งแต่ระบบความปลอดภัยไปจนถึงฟีเจอร์อัจฉริยะ เพื่อยกระดับการขับขี่ให้เหนือชั้น ตอบโจทย์ยุคใหม่ทั้งในด้านสมรรถนะและความปลอดภัย

อาทิ ระบบ Traction Control หรือในภาษาไทยมันคือ ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน คือระบบที่ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อหลังหมุนฟรีหรือสูญเสียแรงยึดเกาะกับพื้นถนน แต่เดิมเทคโนโลยีนี้จะใส่มาในรถจักรยานยนต์ซีซีสูง ๆ หรือรถจักรยานยนต์ที่อยู่ในระดับเรือธงของค่าย แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีดังกล่าวก็ถูกใส่มาในรถจักรยานยนต์หลาย ๆ รุ่นเนื่องจากเป็นระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐานแล้ว

หรือแม้แต่ระบบ Cruise Control หรือในภาษาไทยเรียกกันว่าระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ คือระบบที่ช่วยให้รถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ รักษาความเร็วคงที่โดยไม่ต้องบิดคันเร่งตลอดเวลา เหมาะสำหรับการขับขี่ทางตรงหรือทางไกล โดยตัวอย่างของโมเดลที่บรรจุเทคโนโลยีนี้ไว้ก็เป็นรถแนวสกูตเตอร์แอดเวนเจอร์อย่าง Honda X-ADV 750 2025
ถัดมากับอีกหนึ่งระบบที่เป็นระบบที่ถูกมาจากสี่ล้อ ถึงสองล้อกับเทคโนโลยีของ Power Mode หรือที่รู้จักกันใน ‘โหมดการขับขี่’ ซึ่งแต่เดิมรถจักรยานยนต์การขับขี่อาจจะไม่มีอะไรหวือหวามากนักถ้าไม่ซื้อรถซีซีสูง ๆ เต็มที่ก็แค่เสียบกุญแจบิดสตาร์ท แต่ในปัจจุบันการมาถึงของเทคโนโลยีช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ได้สนุกมากยิ่งขึ้นด้วย ‘โหมดการขับขี่’

ที่เป็นการพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีโหมดต่าง ๆ เพื่อรีดประสิทธิภาพเครื่องยนต์ให้ตอบสนองกับผู้ขับขี่ในทุกสถานการณ์ ซึ่งโหมดการขับขี่ที่ว่านี้หลัก ๆ ในรถแต่ละรุ่นก็จะเป็น โหมดปกติ , โหมด Rain , โหมด Sport
แต่ละค่ายก็ต่างพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ของตัวรถอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่เทคโนโลยีหน้าจอจนไปถึงเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถใช้รถได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แม้งานดังกล่าวจะจบลงไปที่เรียบร้อยแล้ว แต่หากผู้อ่านสนใจอยากจะเห็น หรือสัมผัสคันจริง ๆ กับเทคโนโลยีของรถจักรยานยนต์ต่าง ๆ ที่ได้นำเสนอไป ก็สามารถไปที่ศูนย์บริการ หรือตัวแทนจำหน่ายของรถจักรยานยนต์ค่ายนั้น ๆ ได้เลย
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก