Endurance World Championship อีกหนึ่งรายการแข่งที่ควรติดตาม
การแข่งขัน Endurance World Championship (EWC) เป็นการแข่งขันที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ เพราะทั้งรถและนักแข่งต่างก็ถูกทดสอบในการแข่งขันอย่างทรหดต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ 8 ชม. ถึง 24 ชม.ด้วยกัน ซึ่งการแข่งขันแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความทนทานของรถและความอึดตลอดไปจนถึงฝีมือนักแข่งที่ฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดีได้มากแค่ไหน
ยกตัวอย่างการแข่งขันในฤดูกาลล่าสุด ฤดูกาล 2019-2020 จะจัดการแข่งขันทั้งหมด 5 สนามใน 4 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี มาเลเซียและญี่ปุ่น โดยเริ่มแข่งไปแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนปี 2019 และจะสิ้นสุดฤดูกาลในช่วงเดือนกรกฎาคมปี 2020 (แข่งไปแล้ว 2 สนามด้วย) การแข่งขัน EWC จะจัดขึ้นในสนามแข่งขันระดับโลกอาทิเช่น Paul Ricard Circuit ในเมือง Castellet และ Bugatti ที่ Le Mans ในประเทศฝรั่งเศส และ Suzuka ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีจัดแข่งในยุโรปตะวันออกเช่นที่ Oschersleben ในเยอรมัน
โดยฤดูกาลที่แล้ว 2018-2019 แชมป์โลกตกเป็นของทีม TEAM SRC KAWASAKI FRANCE ซึ่งแน่นอนว่าใช้ Kawasaki ZX-10R ที่ใส่ยาง Pirelli แข่งขัน โดยมีนักแข่งในสังกัดทีมดังนี้ Jérémy Guarnoni, David Checa และ Erwan Nigon
ในประเทศมาเลเซียก็จะมีการจัดการแข่งขันที่สนาม Sepang International Circuit ซึ่งจะเป็นการจัดการแข่งขัน 8 Hours of Sepang (แข่ง 8 ชม.) โดยจะมีการแข่งขันทั้งรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ ในฤดูกาลนี้จัดไปแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปี 2019 นอกจากนี้การแข่งขันในรายการนี้จะนับเป็นการแข่งขันเพื่อควอลิฟายเข้าไปแข่งในสนามสุดท้ายรอบแกรนด์ไฟนอลในรายการ Suzuka 8 Hours Grand Finale 2020 อีกด้วย
นับตั้งแต่ที่ Eurosport Events เข้ามาเป็นผู้จัดการแข่งขัน EWC คู่กับทาง FIM ในปี 2015 การแข่งขันรายชิงแชมป์โลกรายการนี้ก็เป็นที่นิยมและแพร่หลายมากขึ้นทั้งในหน้าสื่อและมีการถ่ายทอดสดออกไปทั่วโลก ตลอดไปจนถึงจำนวนผู้เข้าชมการแข่งขันเองก็เพิ่มขึ้นมาก ผลก็คือการแข่งขันในรูปแบบนี้เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ การแข่งขันเองก็เริ่มดึงดูดนักแข่งจากประเทศต่างๆ และนักแข่งชื่อดังมากขึ้นตามไปด้วย และยิ่งส่งผลให้มีทีมที่เก่งๆ แข่งขันกันมากขึ้นในแต่ละปี
ทำไมถึงน่าติดตาม
การแข่งขัน EWC ยังมีกิมมิคที่ทำให้การแข่งขันในรายการนี้แตกต่างจากการแข่งขันรายการอื่นๆ อีกด้วย เช่น การแข่งขันบางส่วนนั้นจะกินเวลาในช่วงกลางคืน การแข่งขันประเภท 8 ชม.เองก็ยังมีช่วงแข่งในเวลากลางคืน นอกจากนี้ยังเป็นการแข่งขันเพียงไม่กี่รายการในโลกที่แต่ละทีมสามารถเลือกใช้ยางแบรนด์ใดก็ได้ และอีกเรื่องก็คือการออกสตาร์ทแบบ Le Mans สไตล์ คือการที่นักแข่งทุกคนจะต้องวิ่งข้ามแทร็กและไปกระโดดขึ้นควบรถแข่งของตัวเองนั่นเอง
การแข่งขันที่กินระยะทางไกลในรายการนี้เป็นเหมือนบททดสอบความทรหดของทั้งนักแข่งและรถแข่ง ซึ่งในแต่ละทีมจะต้องใช้นักแข่ง 2 ถึง 3 คน ผลัดกันลงแข่งโดยใช้รถคันเดียวกัน โดยส่งต่อรถกันเหมือนส่งต่อไม้ในการแข่งวิ่งผลัด โดยรถแข่งที่ใช้แข่งนั้นก็จะใกล้เคียงกับรถโปรดักชั่นที่ค่ายรถผลิตขายให้กับคนทั่วไป
การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 รุ่นด้วยกัน
รุ่น Formula EWC สำหรับแข่งขันชิงแชมป์โลก FIM EWC Endurance World Championship
จุดสังเกตของรถ ด้านหลังเบอร์แข่งของรถใช้สีดำ ไฟหน้าสีขาว และน้ำหนักรถอย่างน้อย 175 กก.
รุ่น Formula EWC คือรุ่นสูงสุดของการแข่งขัน การปรับปรุงสมรรถนะรถระหว่างการแข่งขันนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ หน้าตาของรถโดยรวมจะไม่แตกต่างไปจากรถโปรดักชั่น แต่ว่าโช้คหน้า กันสะบัด สวิงอาร์ม เบรก แผงหม้อน้ำ และท่อไอเสียนั้นสามารถปรับเปลี่ยนได้ ทีมแข่งยังสามารถปรับแต่งสมรรถนะของเครื่องยนต์ได้ นอกจากนี้ตัวรถยังจะติดตั้งระบบเปลี่ยนยางแบบรวดเร็วไว้อีกด้วย
รุ่น Superstock สำหรับแข่งขันชิงแชมป์โลก FIM World Endurance Cup
จุดสังเกตของรถ ด้านหลังเบอร์แข่งของรถใช้สีแดง ไฟหน้าสีเหลือง และน้ำหนักรถอย่างน้อย 168 กก.
สำหรับรุ่น Superstock รถแข่งนั้นจะเหมือนกับรถโปรดักชั่นเลย เครื่องยนต์นั้นทางค่ายรถจะจัดเตรียมให้ โดยมีอนุญาตให้ดัดแปลงได้จำกัดมากๆ (หัวฉีดและการจ่ายน้ำมัน คลัทช์ และปลายท่อไอเสีย เป็นต้น) ล้อเองก็ต้องเหมือนเดิม ดังนั้นทีมจะต้องใช้มีการวางแผนการเปลี่ยนล้อที่ดีเวลาเข้าพิท
หมายเหตุ การแข่งขันทั้งสองรุ่นจะมีถังน้ำมันขนาดไม่เกิน 24 ลิตรและมาพร้อมกับระบบเติมน้ำมันแบบเร็วพิเศษ
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก