Ducati Panigale V2 MY25
ยัดเครื่องใหม่ ใส่อาร์มคู่
บอกลาขุมพลังวีทวิน Superquadro ที่เคียงบ่าเคียงไหล่ดูคาติมาอย่างเนิ่นนาน นับตั้งแต่ Panigale 1199, 899, 1299, 959 จนกระทั่งมาถึงรุ่น Final Edition ในปัจจุบัน ล่าสุด ดูคาติได้ทำการเปิดตัวขุมพลังบล็อกใหม่อย่าง “New V2 Engine” ที่มีการอัปเกรดในเรื่องของสมรรถนะและน้ำหนักที่เบาขึ้น และยืนยันว่าจะนำมาใช้ในรุ่น Street Fighter V2 MY25 และ Ducati Panigale V2 MY25 รุ่นใหม่แล้วนั่นเอง
2025 Ducati Panigale V2 พร้อมขุมพลังบล็อกใหม่ น้ำหนักเบาขึ้น
หลังการเผยโฉมของเครื่องยนต์บล็อกใหม่ นำมาสู่การตั้งคำถามว่าจะนำมาใช้ในรุ่นซูเปอร์สปอร์ตอย่าง Panigale V2 หรือไม่ แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก ทางดูคาติก็เผยโฉม 2 โมเดลกับ 2 รุ่นย่อยในรหัส V2 และ V2S กับสิ่งที่ปรับเปลี่ยนใหม่ประเด็นแรกคงไม่พ้นในเรื่องของเครื่องยนต์ V2 บล็อกใหม่แบบ V-Twin 90 องศา มีปริมาตรกระบอกสูบขนาด 890 ซีซี พร้อมปรับระบบวาล์วจาก Desmodromic มาใช้ระบบสปริงวาล์วแบบปกติ และมีขนาดน้ำหนักเบาลงราว ๆ 54.4 กก. จากการเลือกใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาและให้คุณสมบัติความแข็งแรงและทนทานเป็นพิเศษ และการันตีได้ว่าเครื่องยนต์รุ่นนี้มีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่มีมานั่นเอง
โดยให้แรงม้าสูงสุด 120 แรงม้าที่ 10,750 รอบ และสามารถรีดแรงม้าสูงสุดได้ถึง 126 แรงม้าทีเดียว ส่วนแรงบิด 93.3 นิวตันเมตรที่ 8,250 รอบ แถมไล่เกียร์สมูทเร้าใจกว่าเดิมด้วยควิกชิฟเตอร์ตัวใหม่และคันเร่งไฟฟ้า เคลมน้ำหนักตัวมาที่ 179 กก. (ส่วนรุ่น V2S จะมีน้ำหนักเบากว่า 3 กก. ตกอยู่ที่ 176 กก.เท่านั้น)
New Design เปลี่ยนอาร์มหลัง ตามรุ่นพี่รหัส V4
ในเรื่องของดีไซน์ออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากโมเดลรุ่นพี่อย่าง V4 และ V4S รุ่นปีล่าสุด ปรับสัดส่วนโครงสร้างให้มีความกระทัดรัดมากยิ่งขึ้น ไฟหน้าและตัวชิลด์ออกแบบใหม่ สอดคล้องกับเส้นสายการออกแบบชิ่นส่วนแฟริ่งที่มีหลักแอโรไดนามิกแบบเดียวกันกับรุ่นพี่ ทั้งยังปรับมิติท่านั่งขับขี่ใหม่ นั่งสบายขึ้นแต่ยังคงให้สไตล์การขับขี่แบบสปอร์ตเต็มพิกัด ถังน้ำมันดีไซน์ใหม่เว้าองศาส่วนขอบให้ผู้ขับขี่สามารถนั่งเข่าชิดหนีบถังและคอนโทรลการแฮนเดอริ่งได้อย่างอิสระ
และแน่นอนว่า สิ่งที่ย่อมตามมาด้วยนั่นก็คือ สวิงอาร์มคู่ด้านหลังใช้แบบเดียวกันกับรุ่น V4 ซึ่งสาวกดูคาติบางท่านที่เห็นแล้วอาจจะรู้สึกขัดใจไปตาม ๆ กัน หรืออาจจะเริ่มคุ้นชินหลังจากที่เห็นโฉมรุ่นพี่กันไปแล้ว ต่อด้วยจุดเด่นอื่นๆ กับท่อไอเสียแบบปลายคู่ยกสูง มาแบบสปอร์ตเต็ม ๆ เหมือนตัวแข่งขันรุ่นโปรดักท์ชันเลยทีเดียว
โช้คอัพหัวกลับขนาดแกน 43 มม. พร้อมคาลิเปอร์เบรก Brembo M50 |
|
โช้คเดี่ยวด้านหลังพร้อมซับแทงค์ (รุ่น Standard จะได้โช้คอัพจาก KYB) (รุ่น V2S จะได้โช้คอัพจาก Ohlins) |
สำหรับช่วงล่างโช้คอัพด้านหน้าเป็นแบบหัวกลับ ในรุ่น Standard หรือ V2 จะได้เป็นโช้คอัพ Marzocchi ขนาดแกน 43 มม. ด้านหน้าและโช้คเดี่ยว KYB (เบาะคู่ มีพักเท้าสำหรับผู้ซ้อน) ส่วนรุ่น V2S จะได้เป็นโช้คหัวกลับ Ohlins NIX30 และโช้คเดียวด้านหลังจาก Ohlins เช่นเดียวกัน (เบาะเดี่ยวแบบสปอร์ต) ซึ่งระบบกันสะเทือนของทั้งสองรุ่นสามารถปรับแต่งได้เต็มระบบ ใส่คาลิเปอร์เบรก Brembo M50 ล้ออลูมิเนียมไดแคสติ้งขึ้นรูป ดีไซน์ 6 ก้านรูปตัว “Y” และใช้ยาง Pirelli Diablo Rosso IV ขนาด 120/70 และ 190/55 ตามลำดับ
จอสีใหญ่ขึ้น
อัปเกรดต่อเนื่องกับหน้าจอสี TFT จากเดิม 4.3 นิ้วเป็น 5 นิ้ว สามารถปรับตั้งแสดงผลได้ถึง 4 รูปแบบ รวมถึงโหมดการขับขี่ 4 โหมดติดตั้งมาให้ ทั้ง Race, Sport, Road และ Wet และโหมดแทร็คกิ้งสำหรับการขับขี่ในสนาม ซึ่งสามารถปรับให้เข้ากับสไตล์ของผู้ขับขี่ได้ ระบบช่วยออกตัว เอ็นจิ้นเบรก ระบบแทร็คชันคอนโทรลปรับได้ 8 ระดับ (6 ระดับสำหรับพื้นแห้งและ 2 ระดับสำหรับพื้นเปียก) ระบบป้องกันล้อหน้าลอยและระบบ Cornering ABS จาก Bocsh สามารถปรับได้ถึง 3 ระดับ โดยระบบต่าง ๆ ถูกควบคุมตรวจสอบอย่างแม่นย่ำด้วย IMU 6 แกน นั่นเอง
โดยเปิดตัวพร้อมราคาค่าตัวในตลาดยุโรปสำหรับรุ่น V2 Standard มีราคาที่ 16,791 ยูโรหรือราว ๆ 6 แสนบาท ส่วนรุ่น V2S เปิราคาที่ 19,190 ยูโรหรือราว ๆ 7 แสนบาท ซึ่งคาดว่าหากมาไทยราคาอาจจะถูกกว่าเจ็นก่อน ๆ เนื่องด้วยการปรับโฉมใหม่หลาย ๆ จุด และใช้วัสดุที่จัดหาและเซอร์วิสได้ง่ายมากขึ้น ดูแล้วอาจลดทอนในส่วนของคุณค่าทางแบรนด์ลดลง แต่กลับได้สมรรถนะที่เหนือชั้นและการควบคุมที่ง่ายดายกว่าเดิมก็เป็นไปได้ ฟีลลิ่งตัวรถจะเป็นอย่างไรเรายังไม่รู้ สงสัยต้องแอบไปยืมรถมาทดสอบก่อนละ….
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก