2025 Ducati Multistrada V2
New Look & New Engine
อีกหนึ่งรุ่นสำหรับไลน์อัพปี 2025 ของโฉมโมเดลจากค่ายดูคาติ ซึ่งนับจากรุ่น V4 ที่ทยอยเปิดตัวมาซักระยะ ต่อยอดด้วยโฉม V2 พร้อมเครื่องยนต์บล็อกใหม่ส่งต่อในรุ่น Panigale และ Streetfighter คราวนี้ถึงคิวของทางฝั่งสายทัวริ่งเดินทางอย่าง Ducati Multistrada V2 2025 ปรับลุคใหม่ครั้งสำคัญทั้ง เครื่องยนต์ เฟรมและการออกแบบใหม่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองการขับขี่ที่ดีในทุกเส้นทาง
2025 Ducati Multistrada V2 New Look
โดยแบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อยทั้ง V2 รุ่น Standard รุ่น V2S และรุ่น V2 S Travel (รุ่นแต่ง) กับชุดสีแดงประจำค่าย Ducati Red และสีใหม่อย่าง Strom Green มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ในแบบรถครอสโอเวอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่นพี่มัลติสตราดร้า V4 อาทิ ไฟหน้า LED แบบคู่พร้อมไฟ DRL ดีไซน์ใหม่ ไฟเลี้ยวบิวอินต์มาพร้อมกับแฟริ่งด้านข้างปรับเปลี่ยนตำแหน่งจากเดิมที่การ์ดแฮนด์ ปีกหน้าชิ้นใหม่ ให้ลักษณะรูปลักษณ์หน้าตาปรับเปลี่ยนไปจากเดิมแบบฉบับไลน์อัพปี 2025
ใช้โครงสร้างประกอบใหม่ ไล่น้ำหนัก เพิ่มความคล่องตัว
และโครงสร้างประกอบขึ้นใหม่กับเฟรมอลูมิเนียมโมโนค็อกยึดต่อกับสวิงอาร์มคู่ด้านหลังเว้ารูตรงกลางขนาดใหญ่ให้มีน้ำหนักที่เบาลงพร้อมกับซับเฟรม ซึ่งให้ลักษณะการขับขี่และควบคุมค่อนข้างเป็นมิตรกับผู้ขับขี่ทั้งบนเส้นทางออนโร้ดและออฟโร้ด
NEW Ducati V2 Engine
และสิ่งที่สำคัญที่ทำให้คาแรคเตอร์ของมัลติสตราดร้าแตกต่างจากรุ่นก่อน ๆ ก็คือเครื่องยนต์ V2 บล็อกใหม่ที่ไม่ได้ใช้ระบบวาล์วแบบ Desmodomic แล้ว โดยปรับเปลี่ยนมาใช้วาล์วแบบปกติ คล้ายกับเครื่องแกรนด์ทัวริซโม่ มาพร้อมกับระบบเกียร์ 6 สปีด ควิกชิฟเตอร์ Up/Down 2.0 ปริมาตรกระบอกสูบขนาด 890 ซีซี ระบายความร้อนด้วยของเหลว ให้กำลังแรงม้าสูงสุด 115 แรงม้าที่ 10,750 รอบ พร้อมแรงบิด 92.1 นิวตันเมตรที่ 8,250 รอบ กับขนาดความจุถังน้ำมันที่ 19 ลิตร
เคลมอัตราเร่ง 13.1 x 1 สัดส่วนของกระบอกสูบและช่วงชัก 96 x 61.5 มม. และเรือนลิ้นเร่งขนาด 52 มม. ตอบสนองแรงบิดทันใจด้วยชุดคันเร่งไฟฟ้าผ่านการเผาไหม้เชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ แต่แน่นอนว่ายังคงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยตัวกรองไอเสียที่ผ่านมาตรฐาน Euro5+ ซึ่งให้ประสิทธิภาพค่อนข้างคล้ายคลึงกับรุ่นสปอร์ตและเน็กเก็ดเพราะด้วยพื้นฐานเครื่องยนต์เดียวกันที่มีน้ำหนักเบา ให้ความสมูทในช่วงเดินรอบต่ำ แต่แตกต่างกันในเรื่องของอัตราทดเกียร์ในสไตล์ใครสไตล์มันนั่นเอง
ช่วงล่างเต็มระบบ
ควบคู่มากับระบบช่วงล่างซึ่งให้โช้คอัพด้านหน้าไซส์ใหญ่ขนาดแกน 45 มม. ระยะยุบ 170 มม. สามารถปรับคอมเพรสชันและรีบาวด์ ส่วนด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยวพร้อมซับแทงค์ โดยรุ่น Standard ติดตั้งรีโมทเพื่อการปรับแต่งได้เต็มระบบ ส่วนรุ่น V2S เพิ่มฟังก์ชันในส่วนของการปรับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบเบรกที่ให้มาเป็นสเปคเดียวกันก็คือคาลิเปอร์ Brembo โมโนบล็อกขนาด 4 ลูกสูบจับคู่กับจานหน้าแบบดิสก์คู่ขนาด 320 มม. และคาลิเปอร์ 2 ลูกสูบด้านหลังกับดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 265 มม. พร้อมด้วยระบบ Cornering ABS 3 ระดับ รัดด้วยยาง Pirelli Scorpion Trail II ขนาดไซส์ 120/70-19 และ 170/60-17
ระบบฟลูออปชัน
และเทคโนโลยีทั้งหน้าจอสี TFT ขนาด 5 นิ้ว โหมดการขับขี่ 5 โหมด (Sport, Touring, Urban, Enduro และ Wet) พาวเวอร์โหมด เพิ่มความสะดวกสบายด้วยครูซคอนโทรล ระบบ Navigation หรือระบบนำทาง พอร์ตชาร์จไฟ USB และปลอดภัยมากยิ่งขึ้นกับระบบแทร็คชันคอนโทรล 3 ระดับ ระบบป้องกันล้อหน้าลอย ระบบช่วยหยุดรถบนเนิน ระบบเอ็นจิ้นเบรก ระบบไฟกระพริบเมื่อเบรกฉุกเฉิน ส่วนฮีตกริปเป็นออปชันเสริมซึ่งในบ้านเราไม่จำเป็นต้องใช้…ส่วนนี้บอกไว้เฉย ๆ ครับ
สุดท้ายในเรื่องของราคาสำหรับเจ้า V2 เปิดราคาที่ 15,995 ดอลล่าร์หรือ 5.4 แสนบาท รุ่น V2S เปิดราคา 19,295 ดอลล่าร์หรือราว ๆ 6.5 แสนบาท (ไม่รวมมูลค่าภาษีเพิ่ม) คาดมาไทยพร้อมราคา 7 แสนต้น ๆ เตรียมตัวรอได้เลย
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก