Home รีวิวและทดสอบ รีวิว Suzuki V-Strom 800 DE นุ่มนวล แต่ทรงพลัง

รีวิว Suzuki V-Strom 800 DE นุ่มนวล แต่ทรงพลัง

0

รีวิว Suzuki V-Strom 800 DE นุ่มนวล แต่ทรงพลัง 

วันนี้เรามาอยู่กับรถแอดเวนเจอร์ทัวริ่งตัวใหม่ล่าสุดจากทางซูซูกิบิ๊กไบค์กันหน่อย ถือว่าเป็นการได้ทดสอบ รีวิว Suzuki V-Strom 800 DE โมเดล 2023 ที่มาจำหน่ายในบ้านเรา และแน่นอนทางเราก็ไม่พลาดการทดสอบโมเดลใหม่ในครั้งนี้

ครั้งนี้ทดสอบกันที่จังหวัดชลบุรี โดยเริ่มกันที่เขาสามมุก บางแสน ไปจนถึงอ่างเก็บน้ำบางพระ โดยเส้นทางที่ทดสอบมีทั้งทางดำ และทางฝุ่น จัดเต็มครบรสชาติให้สมกับรถคันนี้ 

ดีไซน์ใหม่ สะดุดทุกสายตา 

สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงเลยนั้นก็คือ การดีไซน์แฟริ่งใหม่ทั้งหมด ทว่ายังคงเอกลักษณ์ ปากนก เส้นสายเฉียบคม ดูทันสมัย ฉีกการดีไซน์ให้เด่นสง่าไม่เหมือนใครในคลาส มาพร้อมไฟหน้าที่ออกแบบมาใหม่เป็น LED แบบโมโนโฟกัส ทรงหกเหลี่ยม 2 ดวงซ้อนกันเป็นแนวตั้ง เด่นไม่เหมือนใคร 

และหน้าจอเรือนไมล์แบบ TFT ขนาด 5 นิ้ว จอสี บอกสถานะต่าง ๆ ของตัวรถได้แบบครบครัน อาทิ ความเร็ว รอบเครื่องยนต์ ตำแหน่งเกียร์ ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง ความร้อนเครื่องยนต์ ทริปการเดินทาง โหมดการขับขี่ แทร็กชั่นคอนโทรล ABS ระบบของตัวรถ จะถูกแสดงขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจน รวมไปถึงหน้าจอ TFT  มีระบบ Auto Night mode สามารถปรับความสว่างหน้าจอเองได้ ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีมาก ๆ  

การ์ดแฮนด์มีมาพร้อม

อกล่างหรือการ์ดหม้อน้ำจากโรงงานพร้อมลุย

พอร์ตจ่ายไฟแบบ USB

แร็คท้ายขนาดใหญ่

ส่วนประกอบของตัวรถ อย่างตัวบาร์จับคนซ้อน แร็คหลังสำหรับติดกล่องใส่สัมภาระ ชิลด์หน้าสามารถปรับระดับได้ การ์ดแฮนด์ การ์ดหม้อน้ำ และอกล่างกันกระแทกที่ถูกติดตั้งมาให้จากโรงงานพร้อมใช้งานไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม และที่ขาดไม่ได้คือช่องจ่ายไฟแบบ USB ที่จ่ายไฟได้แรงอีกด้วย

เครื่องยนต์ใหม่ทรงพลัง

ซูซูกิออกแบบเครื่องยนต์ใหม่แบบ Parallel Twin หรือ 2 สูบเรียง ความจุกระบอกสูบ 776 ซีซี หัวฉีดใหม่ที่ออกแบบให้มีรูฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงมากถึง 10 รู พร้อมออกแบบเพลาข้อเหวี่ยงแบบ 270 องศา DOHC 8 วาล์ว ยังมีการออกแบบบาลานเซอร์ใหม่ที่นิ่งขึ้น และเครื่องยนต์ตัวนี้ ให้กำลังแรงม้า 83 แรงม้าสูงสุดที่ 8,500 รอบ/นาที และให้กำลังแรงบิด 78 นิวตันเมตร ที่ 6,800 รอบ/นาที ระบายความร้อนเครื่องด้วยน้ำและออยคูลเลอร์ 

กำลังทั้งหมดถูกสั่งการตอบสนองจากคันเร่งไฟฟ้า Ride by wire ผ่านเกียร์บ๊อกซ์ 6 สปีด พร้อมระบบควิกชิฟเตอร์ ขึ้น-ลง ทำงานควบคู่กับ คลัตช์แอสซิสต์ช่วยให้มือคลัตช์เบา และขับขี่ได้นุ่มนวลมากขึ้น และส่งกำลังผ่านโซ่สเตอร์ไปที่ล้อหลัง ส่วนของถังน้ำมันเชื้อเพลิงจัดมาให้เต็มพิกัด 20 ลิตร และเครื่องยนต์ตัวนี้ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5 

ช่วงล่าง ทัวริ่ง ลุยได้สบาย 

ช่วงล่างใหม่ ออกแบบมาให้สมกับเป็นแอดเวนเจอร์ทัวร์ริ่ง แชสซีเหล็กใหม่ออกแบบให้มีความกะทัดรัดมากขึ้น มีน้ำหนักเบาลง เพิ่มความคล่องตัวในการบังคับรถ เฟรมยังรองรับกับเครื่องยนต์ตัวใหม่แบบ 2 สูบเรียง ทำให้ตัวรถมีความยาวลดลง ตำแหน่งที่นั่งของผู้ขับขี่ก็เลื่อนขึ้นมาด้านหน้ามากยิ่งขึ้น ทำให้บังคับควบคุมคอนโทรลตัวรถได้ง่ายมากขึ้นตามไปด้วย

 

ระบบโช้คอัพกันต่อ ด้านหน้าให้มาเป็นของ Showa แบบหัวกลับขนาด 43 มิลลิเมตร สามารถที่จะปรับค่า ความแข็งอ่อน ความหนืด การคืนตัว ได้ครบทั้งหมด

 

 

 

ส่วนด้านหลังเป็นโมโนโช้คพร้อมรีโมท สามารถปรับได้ 40 คลิก เต็มระบบเหมือนโช้คอัพด้านหน้า สามารถให้ระยะยุบรถคันนี้ได้ถึง 220 มิลลิเมตร ถือว่าเป็นช่วงล่างรถแอดเวนเจอร์ทัวริ่งที่พร้อมลุยได้สบาย ๆ เลย 

 

 

ส่วนระบบเบรก ด้านหน้าเป็นดับเบิ้ลดิสก์เบรกจาก Nissin มาพร้อมจานเบรก 310 มิลลิเมตร และเบรกหลังดิสก์เบรกให้ขนาดจาน 260 มิลลิเมตร พร้อม ABS อิสระหน้าหลัง มาพร้อมกับล้อซี่ลวดสีทองแบบใช้ยางใน ด้านหน้าขนาด 21 นิ้ว กับยาง 90/90-21 และ ล้อหลังขนาด 17 นิ้ว ยาง 150/70-17 พร้อมลุยข้ามอุปสรรคได้อย่างง่าย ๆ เลย 

เทคโนโลยีแน่น ๆ 

สำหรับโมเดลนี้จะมีการติดตั้งระบบ Suzuki Intelligent Ride System ซึ่งจะเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ช่วยเหลือในการขับขี่ 

เริ่มจาก Suzuki Drive Mode Selector [SDMS] ถ้าจะให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกนิด นี่คือโหมดการขับขี่ที่จะเป็นตัวสั่งการควบคุมการทำงานของลิ้นปีกผีเสื้อจากคันเร่งไฟฟ้า Ride by wire Electronic Throttle โดยจะมีทั้งหมด 3 โหมดขับขี่ A-B-C จะมีการตอบสนองดังนี้ 

Mode A [Active] – ให้การตอบสนองที่ไวที่สุดเมื่อเปิดคันเร่ง ฟีลสปอร์ต 

Mode B [Basic] – การตอบสนองที่นุ่มนวลมากขึ้น ใช้งานทั่วไป ท่องเที่ยว ออนโร้ด 

Mode C [Comfort] – คันเร่งละเอียด นุ่มนวล ขับขี่บนถนนเปียกลื่น โหมดนี่ตอบโจทย์ได้ดี 

Suzuki Traction Control System [STCS] แทร็กชั่นคอนโทรลจะช่วยป้องกันล้อหน้าหลังหมุนไม่เท่ากัน เพื่อที่จะรักษาสเถียรสภาพของตัวรถ เมื่อเกิดล้อหมุนเร็วไม่เท่ากัน โดยโหมดนี้จะให้ความละเอียด 3 ระดับ และยังมีโหมด G (Gravel) ที่จะมาช่วยเวลาขับขี่บนทางออฟโร้ด สำหรับตัวแทร็กชั่นนี้ สามารถเปิด/ปิดได้ ตามความต้องการ 

Bi-Directional Quick Shift System ควิกชิฟเตอร์ ระบบเข้าเกียร์แบบไม่ต้องกำคลัตช์แบบสองทาง สามารถใส่เกียร์ได้ทั้งขึ้นและลง ได้ฟีลรถสปอร์ตมากยิ่งขึ้น 

Low RPM Assist ระบบช่วยป้องกันไม่ให้รอบเครื่องยนต์ตกลงต่ำเกินไป หรือมากเกินไป ช่วยให้ออกตัวบนทางลาดชันได้ง่ายมากขึ้น หรือช่วยเวลาที่ต้องคอนโทรลตัวรถในความเร็วต่ำๆในเมือง เพิ่มความมั่นใจทุกครั้งที่ได้ขับขี่ 

ABS System ระบบเบรก ABS ป้องกันการล้อล็อคสามารถตั้งค่าความละเอียดได้ 2 โหมด โหมด 1 จะยอมให้ตัวล้อล็อคได้นิดหน่อย เหมาะสำหรับถนนลูกรัง ลุยนิด ๆ ส่วนโหมดที่ 2 จะทำงานแบบเต็มระบบ เหมาะกับใช้งานบนถนนทั่วไป 

** สามารถกดปิด ABS ได้ เฉพาะล้อหลัง เพิ่มความสามารถในการควบคุมในทางลุยได้มากขึ้น  

Suzuki Easy Start System กดสตาร์ทในครั้งนี้ไม่ต้องกดแช่ค้างไว้แล้ว ระบบนี้จะช่วยให้คุณง่ายขึ้น

ฟีลลิ่งการขับขี่ 

อย่างที่เกริ่นไปในช่วงต้น ว่าวันนี้เรามาทดสอบกันที่จังหวัด ชลบุรี ทางซูซูกิบิ๊กไบค์จัดการทดสอบแบบทัวริ่งแอดเวนเจอร์ให้ โดยเริ่มต้นการทดสอบกันที่เขาสามมุก มุ่งหน้าออนโร้ดไปที่อ่างเก็บน้ำบางพระ และมีเส้นทางออฟโร้ดบริเวณรอบ ๆ แบ่งออกเป็น 70% / 30% ให้ได้ลองสมรรถนะกันอย่างเต็มที่ตามสไตล์ทัวริ่งแอดเวนเจอร์ เอ้า มา เรามาพูดถึงฟีลลิ่งกันเลย! 

ท่านั่งการขับขี่


รู้สึกได้ว่า มิติท่านั่งถูกออกแบบมาให้ต่างจากตัวก่อนหน้านี้ ส่งผลมาจากหลาย ๆ อย่าง ทั้งตัวแชสซีใหม่ ตำแหน่งมิติทางกายภาพ ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสำหรับรถทัวริ่ง ทำให้รู้สึกได้ว่านั่งสบาย แฮนด์บาร์กว้างคอนโทรลตัวรถได้ง่าย ตำแหน่งการวางเท้าพอดิบพอดีหัวเข่าไม่งอจนเกินไป เบาะนั่งสบายตอบโจทย์เดินทางไกล สำหรับทางดำขี่ได้แบบสบาย ๆ ส่วนทางลุยที่ออกแบบมามีบางช่วงจำเป็นต้องยืนขี่ ระยะแฮนด์ที่ยกสูงทำให้ได้ท่าขับขี่ที่ดีเลย จับฟีลช่วงหน้าขาหนีบถังน้ำมัน ก็ไม่ใหญ่จนเกินไป ตรงนี้ถือว่าออกแบบมาได้ดีเลย 

เครื่องยนต์ใหม่

ฟีลลิ่งการตอบเสนอต่างจากตัวเดิมมากแบบคนละคันกันเลย ด้วยซีซีที่เยอะขึ้น และการทำงานของเครื่องยนต์แบบใหม่ รวมไปถึงโหมดการขับขี่ และ คันเร่งไฟฟ้า ที่มาช่วยให้ตัวรถขี่ได้ง่ายมาก และสนุกมากขึ้น กำลังเครื่องสำหรับถนนดำ ตอบโจทย์เลย โหมดการขับขี่ A-B ตอบสนองส่งกำลังได้ดีเลย 

และช่วงทางลุย ปรับโหมด Garvel เข้ามาด้วย คันเร่งเนียน สมู้ท รอบเครื่องเดินเต็มกำลังไม่มีถอย สั่งได้ดั่งใจ แต่ก็ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่า คันเร่งไฟฟ้าตอบสนองเราได้ตามการบิดเลย แต่ทางที่เป็นดินลูกรัง เราต้องจับฟีลการเปิดปิดคันเร่งให้ดี เพราะเครื่องยนต์ส่งกำลังแบบเร็ว ๆ อาจจะโอเวอร์ได้ จับฟีล และปรับโหมดการใช้งานให้ดี ตัวรถจะขี่ได้ดีเลยทีเดียว สำหรับผมที่ได้มีโอกาสทดสอบ เครื่องยนต์เทคโนโลยีตัวนี้ ออกแบบมาตอบโจทย์ครบครันเเล้ว 

ช่วงล่าง

ออกแบบมาให้สามารถปรับได้แบบเต็มระบบ ด้านหน้าให้ฟีลลิ่งถนนดำดีเลยทีเดียว ส่วนด้านหลังที่สามารถปรับได้ 40 คลิก ผมเองก็ปรับเพิ่มจากเดิม 13 คลิก บวกเข้าไปอีก 10 คลิก เพิ่มความแข็งของตัวสปริง ทำให้เวลาเข้าโค้งถนนดำรู้สึกว่าเฟิร์มมากขึ้น มั่นใจเวลาเข้าโค้ง ถ้าสายถนนดำ ผมบอกเลยว่าโอเค ดีเลยทีเดียว สำหรับเซทติ้งนี้ ความเร็ว 120-140 กม./ชม. ช่วงรอบอ่างเก็บน้ำ รู้สึกได้ว่าความเร็วสูง ๆ เข้าโค้งได้อย่างสบาย ๆ 

ส่วนถ้าจะไปลุยทางฝุ่น ก็ปรับให้นุ่มลงมาหน่อย เพิ่มการซับแรงให้มากขึ้น จริง ๆ แล้วพื้นฐานตัวโชว์ สามารถปรับได้ เราเองก็ทำได้เลย ไม่ต้องมีเครื่องมือช่าง สบาย ๆ ในส่วนของระบบเบรก ไม่ต้องห่วงเลยเอาอยู่ ทริปนี้ ก็ได้มีลองความละเอียดของ ABS (ต้องจอดปรับเพื่อความปลอดภัย) มาก – น้อย หรือ ก็สามารถปิดเบรกหลังได้ เบรกคอนโทรลตัวรถในโค้งได้ เพราะถูกออกแบบมาแล้ว 

สรุปเลยแล้วกัน 

สรุปเลยสำหรับการ รีวิว Suzuki V-Strom 800 DE ครั้งนี้ ตัวใหม่ ปรับเปลี่ยนมาให้ทั้งหมด โครงสร้างใหม่ เครื่องยนต์ ช่วงล่าง เทคโนโลยี ให้มาให้แบบเหลือใช้ ถูกใจทั้งสายการทัวริ่ง และสายแอดเวนเจอร์ ทรงเล็กลง สั้นลง ขี่ง่ายมากขึ้น มีเทคโนโลยีมากมายมาช่วยให้การขับขี่ง่ายและปลอดภัยมากขึ้น กับการเปิดราคา 479,000 บาท ถือว่าเป็นราคาที่ไม่แพง หากแลกกับสิ่งที่ได้มาในตัวรถ หรือใครอยากจะชมตัวจริงก็สามารถไปชมได้ที่ศูนย์ ซูซูกิ บิ๊กไบค์ทุกสาขาทั่วประเทศไทยได้เลย แต่บอกก่อนเลยว่า ลองแล้วจะติดใจ…!!

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Exit mobile version