รีวิว Solar Proud 125 กรุงเทพ – เชียงใหม่ ไม้เดียวได้สบาย ๆ !!
ความท้าทายเริ่มต้นขึ้นแล้ว กับการทดสอบ รีวิว Solar Proud 125 จากกรุงเทพ – เชียงใหม่ ระยะทางรวม 700 กว่ากิโลเมตรแบบไม้เดียว ทั้งคนทั้งรถ ไม่มีสับเปลี่ยนกลางทาง ถือว่าเป็นการทดสอบรถครั้งแรกในชีวิตของตัวผมเองด้วยที่ได้มีโอกาส ขับขี่ทดสอบรถบ้าน ๆ ที่เน้นการใช้งานในชีวิตประจำวันขนาด 125 ซีซี
แม้ว่าการทดสอบครั้งนี้จะดูย้อนแย้งกับจุดประสงค์การใช้งาน แต่ก็ถือว่าเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ ที่จะได้ทดสอบความทนทานของเครื่องยนต์ ช่วงล่าง ระบบเบรก และจับฟีลลิ่งไปพร้อม ๆ กันด้วยระยะทางการพิสูจน์เจ็ดร้อยกว่ากิโล
สำหรับทริปทดสอบครั้งนี้ ยังมี อีก 2 รุ่น 2 สื่อ ที่ได้ร่วมทดสอบในครั้งนี้ด้วย พี่เก่ง MotoMotion ได้ขับขี่ในรุ่น Solar Groove URBAN 125 และ จูน นักเลงมอเตอร์ไซค์ ขับขี่ในรุ่น Solar Groove CROSS 125 ซึ่งมีพิกัดเครื่องยนต์เดียวกันแต่จะแตกต่างกันที่สไตล์ของตัวรถเท่านั้น
จุดเริ่มต้น
เราเริ่มต้นออกเดินทางกันที่ถนนพระราม 9 มุ่งหน้าวิภาวดี โดยรถคันที่ผมขับขี่อยู่นั้น มันวิ่งมาแค่เพียง 13 กิโลเมตรเท่านั้น ถือว่าเป็นรถใหม่ 0 โลที่เพิ่งจะประกอบเสร็จจากโรงงานมาให้เราได้ทดสอบกันเลย
การขับขี่ในเมืองไม่ใช่ปัญหาใหญ่อยู่แล้ว เพราะตัวรถมีความคล่องตัว เล็กเหมือนรถบ้านทั่ว ๆ ไป ขับขี่ใช้งานง่าย ถูกจริตคนใช้งานอยู่แล้ว เราเริ่มใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อออกชานเมืองรังสิตมุ่งหน้าอยุธยา เส้นทางสายเอเชียมุ่งสู่ภาคเหนือ ซึ่งหลาย ๆ คนน่าจะรู้จักเส้นทางกันดีอยู่แล้ว
พูดถึงน้ำมัน 1 ถัง ขนาดบรรจุเต็มถัง 3.5 ลิตร คันนี้สามารถวิ่งได้อยู่ที่ประมาณ 100 – 120 กิโลเมตร ในความเร็วแบบเต็มพิกัด ยืนพื้นหมดปลอกตลอดทางที่ความเร็ว 100 – 105 กม./ชม. คำนวณอัตราสิ้นเปลืองก็จะประมาณ 33 กิโลเมตร/ลิตร (แบบใส่หมดปลอกนะ ถ้าขับขี่ใช้งานทั่ว ๆ ไปจะได้เห็นตัวเลขที่ดีกว่านี้แน่นอน) โดยน้ำมันถังแรกเรามาหมดแถว ๆ จังหวัดอ่างทอง เส้นทางตรงยาวตลอดทาง มีสภาพอากาศที่มีฝนโปรยปรายลงมาตลอดทาง แต่เพราะเวลาของเรามีจำกัด หากเราจอดหลบฝน เราจะถึงเชียงใหม่มืด ดังนั้นเราจึงหยุดไม่ได้ ต้องลุยฝ่ากันไป
เส้นทางเป็นทางตรงยาวมุ่งหน้านครสวรรค์ ผ่านสะพานเดชา ตัวรถที่ผมขับก็ยังไม่มีปัญหาอะไร ต้องยอมเครื่องยนต์ตัวนี้จริง ๆ ที่แบกภาระทั้งหมดไว้ในการเดินทาง ทั้งน้ำหนักตัวผู้ขับขี่ เส้นทางสภาพถนน สภาพอากาศที่ฝนตกหนัก เครื่องยนต์ถูกเค้นด้วยการบิดคันเร่งค้างมาตลอด แทบไม่มีผ่อน แต่ก็ไม่มีกำลังตก แม้เครื่องจะเป็นการจ่ายน้ำมันด้วยคาบูเรเตอร์ ซึ่งทางเราคิดว่าเครื่องยนต์ตัวนี้เต็มที่แล้วที่จะทำได้
เราแวะเติมน้ำมันทุก ๆ 120 กิโลเมตร เพราะคิดว่าถ้าปล่อยให้น้ำมันหมดกลางทางคงจะลำบากแน่ ๆ และเมื่อมองหน้าจอเรือนไมล์ก็เห็นมันเริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ แปลว่า ท้องฟ้าเริ่มมืดลง เราขับมาได้เกินครึ่งทางแล้ว เส้นทางเริ่มมีทางชัน โค้งไฮสปีด ช่วงล่างคันนี้กับความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยังถือว่ารองรับได้เป็นอย่างดี อาจจะด้วยที่เป็นล้อแม็กด้วย เหมาะสมอย่างยิ่งในการเดินทางหายห่วง
บททดสอบ
ฟ้าเริ่มมืดลงตอนที่เราเดินทางมาถึงเส้นขุนตาล เส้นทางที่ใครเดินทางจากภาคกลางมาเชียงใหม่ต้องผ่านเส้นนี้ ที่นี่ขึ้นชื่อทางโค้งต่อเนื่อง ลื่น และมืด เราเจออย่างที่บอกทั้งหมดเลย เพราะเส้นทางมืดลง แถมฝนตกด้วย เราต้องอาศัยแสงสว่างจากไฟหน้าของตัวรถที่เป็นไฟ LED และ ต้องการความสว่างจากรถที่ใช้ถนนร่วมกันรวมไปถึงความเร็วที่อยู่บนทางหลวงต้องได้ด้วย ทุกอย่างทำให้เราต้องระมัดระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ
ฟีลลิ่งตอนนั้นเราฝากไว้ที่ตัวเราและตัวรถทั้งหมดเลย ช่วงล่าง เครื่องยนต์ ระบบไฟ ระบบเบรก ทุกอย่างต้องพร้อมใช้งาน เมื่อต้องการ และเราก็ผ่านช่วงนั้นมาได้ เราเหลืออีกไม่ถึง 100 กิโลเมตร ก็จะถึงเชียงใหม่แล้ว
เส้นชัย
ในที่สุดเรามาถึงร้านที่เราตั้งเป็นจุดหมายปลายทางในวันแรกเรียบร้อย กับการเดินทาง 726 กิโลเมตร ใช้เวลาไป 13 ชั่วโมง ถือว่าเป็นการทดสอบความอึด ถึก ทน ของตัวรถได้เป็นอย่างดี พิสูจน์อะไรหลาย ๆ อย่างได้เป็นอย่างดี ทั้งเครื่องยนต์ ช่วงล่าง หรือแม้กระทั่งผู้ขับขี่ที่ต้องเจอสถานการณ์อะไรมากมายในการเดินทางไกลครั้งนี้
เช้าวันถัดมาเรามีไปต่อกันอีกเล็กน้อย สำหรับทริปเดินทางมาเชียงใหม่ ถ้าไม่ได้มาถือว่ามาไม่ถึง นั่นก็คือการขับขี่ขึ้นดอยสุเทพ ที่ผมขอเรียกว่าดอยสุเทพเซอร์กิต ในวันนี้ฝนก็ยังคงโปรยปรายลงมาไม่ต่างอะไรกับวันก่อน และเราก็ต้องขึ้นไปให้ได้เพราะมาเชียงใหม่ทั้งที ยังไงก็ต้องไปให้ได้ ไปพิสูจน์กำลังเครื่องยนต์ต่อกันอีกหน่อยกับการขึ้นเนินชันสูง ๆ ซึ่งเจ้าพราวด์ที่เราภูมิใจก็สามารถทำได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าทริปนี้ครบรสชาติจริง ๆ ครับ
ส่งท้าย
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก