รีวิว CBR650R 2024 ปรับเครื่องใหม่ ดีไซน์ซูเปอร์สปอร์ต
วันนี้เราก็ได้มีโอกาสทดสอบโมเดลที่ไบค์เกอร์หลายคนจับตามอง ตั้งแต่เปิดตัวที่งาน EICMA 2023 เมืองมิลาน นั่นคือการ รีวิว CBR650R 2024 ที่มีการปรับเปลี่ยนทั้งในส่วนของดีไซน์ และเครื่องยนต์ อย่างไรก็ตามโมเดลที่ทาง SuperBike Thailand ได้ทดสอบยังเป็นตัว STD ยังไม่ใช่ตัว E-Clutch นะครับ ก็ขอให้แฟน ๆ อดใจรอกันอีกหน่อย ยังไงก็ต้องได้ทดสอบรีวิวกันแน่นอนครับ
ก่อนจะเข้าเรื่องหลัก ผมขอพูดถึงประวัติของโมเดลนี้กันสักหน่อย สำหรับโมเดล 4 สูบเรียง 650 ซีซี รหัสนี้เดิมทีนั้นมีมานานแล้ว โดยโมเดลแรกที่ถูกนำออกมาจำหน่ายทางท้องตลาด เริ่มขายเมื่อปี 2014 – 2017 ในชื่อรุ่น CBR650F ไปจนถึงปี 2019 ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็น CBR650R ตามความสปอร์ตที่มีมากยิ่งขึ้น
และในปีนี้โมเดล 2024 ก็มีดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวมากขึ้น เทคโนโลยีเองก็ทันสมัย เครื่องยนต์ปรับจูนใหม่ ช่วงล่างก็ถือว่าระดับเยี่ยม ทำให้รุ่นนี้ดูเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าแต่ก่อนเยอะเลย และยังจะมีรุ่นพิเศษที่จะมาพร้อมเทคโนโลยี E-Clutch เพิ่มเข้ามา เพื่อให้มือใหม่สามารถขับขี่ได้ง่ายอีกด้วยครับ
รูปลักษณ์ซูเปอร์สปอร์ต
กลับมารอบนี้ดูหล่อขึ้นเป็นกองเลย แฟริ่งด้านหน้าดีไซน์มาใหม่ ไฟหน้าคู่มีความโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ยิ่งถ้ามองด้านหน้าตรง ๆ ก็จะยิ่งเหมือนกับ CBR1000RR เข้าไปกันใหญ่ ตรงนี้ละที่บอกว่า ดีไซน์มีความเป็นซูเปอร์สปอร์ตมากขึ้น โมเดลนี้ยังมีหน้าจอแบบสี TFT ขนาด 5 นิ้วติดตั้งมาให้อีกด้วย ทำให้บอกสถานะฟังก์ชั่นการทำงานของตัวรถได้ชัดเจน สำหรับภายนอกที่ปรับมาให้ ส่วนตัวรู้สึกว่าตัวรถมีความแน่นมากขึ้น ดูแล้วมั่นคง สปอร์ต เมื่อรวมกับโทนสีประจำของทางค่ายยิ่งทำให้ดูสปอร์ตขึ้นอีกเยอะเลย
เครื่องยนต์ปรับมาใหม่
เครื่องยนต์ตัวนี้เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 16 วาล์ว มีพิกัดอยู่ในคลาส 650 ซีซี จัดเป็นรถบิ๊กไบค์ขนาดกลางที่เป็นมิตรกับผู้ขับขี่ แต่ไม่ใช่ว่าไม่แรงนะ มันมีความแรงที่ควบคุมได้ อีกทั้งยังตรงกับความนิยมของชาวไทย โดยในเจ็นฯ นี้มีการปรับเปลี่ยนองศาเพลาลูกเบี้ยวฝั่งไอดีมาใหม่ ทำให้วาล์วเปิดนานขึ้น ส่งผลให้ตัวรถมีกำลังแรงและขี่ได้สนุกมากขึ้น
ทั้งยังมีการปรับแมปปิ้งระบบจ่ายน้ำมันมาใหม่ ทำให้ตัวรถสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ส่งกำลังด้วยเกียร์ 6 สปีด พร้อมมีระบบแอสซิสต์สลิปเปอร์คลัตช์มาให้ช่วยทำให้การขับขี่สมู้ทนุ่มนวลมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ช่วงล่าง พร้อมจากโรงงาน
พูดถึงระบบเบรกก่อนเลย ของที่ให้มาเป็นแบบดับเบิ้ลดิสก์แบบโฟลทติ้ง คาลิเปอร์เบรก Nissin แบบเรเดียลเม้าส์ ส่วนด้านหลังก็เป็นดิสก์เบรกเช่นกัน ถัดมาในส่วนของโช้คอัพหน้าเป็นแบบ Upside Down จาก Showa SFF-BP ขนาด 41 มิลลิเมตร โช้คอัพหลังเดี่ยวขนาดแกน 14 มิลลิเมตร สามารถปรับค่าพรีโหลดได้ 10 ระดับ และส่วนสุดท้ายนั้นก็คือตัวล้ออลูมิเนียมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหน้าหลัง 17 นิ้ว มาพร้อมยางหน้าขนาด 120/70-17 และยางหลังขนาด 180/55-17 ตามลำดับ
ที่โดดเด่นเลยก็คือระบบ HSTC หรือ Honda Selectable Torque Control เรียกกันแบบที่คุ้นเคยก็แทร็คชันคอนโทรลที่มาเสริมความปลอดภัยขณะขับขี่ให้มากขึ้น เพื่อที่จะรักษาสมดุลของตัวรถ เพิ่มการยึดเกาะของตัวล้อและยาง ทำให้ผ่านอุปสรรคไปได้อย่างปลอดภัย ยังมีในส่วนของระบบเบรกนั้นก็คือ ABS อิสระหน้า-หลัง ที่จะมาช่วยลดระยะการเบรกให้สั้นและเบรกได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ยังมีระบบ Honda Roadsync เชื่อมต่อรถเข้ากับสมาร์ทโฟน พร้อมกับการแสดงผลบนหน้าจอ TFT เพิ่มความสะดวกสบาย จะโทรเข้า รับสาย ฟังเพลง ก็ทำได้สะดวกปลอดภัยและยังมีพอร์ต USB Type-C ติดตั้งมาให้ใช้ชาร์จสมาร์ทโฟนที่เป็นเหมือนอวัยวะที่ 33 ของคนเรายุคนี้อีกด้วย
ฟีลลิ่งลงสนามเป็นไงบ้าง..
จริง ๆ แล้วการรีวิวทดสอบโมเดลนี้เป็นรอบทดสอบวันเดียวกันกับเจ้า CBR500R 2024 เลย แต่จะมีการแบ่งการทดสอบเป็นช่วงเช้ากับช่วงบ่าย เพื่อที่จะได้จับฟีลลิ่งในสนามได้ชัดเจน ซึ่งการจัดการทดสอบที่สนามแก่งกระจานเซอร์กิต ที่ถือว่าเป็นสนามที่ขี่สนุก ด้วยโค้งที่ต่อเนื่อง มีขึ้นเนินลงเนินแบบไฮสปีด ทำให้เราสามารถที่จะจับฟีลลิ่งรถได้อย่างชัดเจน ทั้งช่วงล่าง กำลังเครื่องยนต์ ระบบเบรก ไปจนถึงท่านั่งการขับขี่อีกด้วย
ท่านั่งและการขับขี่
ท่านั่งยังมีการออกแบบสำหรับการขับขี่ใช้งานทั่วไป ไม่ได้ออกแบบมาเป็นเรซซิ่งจ๋า ๆ ยังคงขี่ง่าย หลังไม่ได้ก้มลงมาเยอะเลย อันนี้ถือว่าตอบโจทย์เลย แต่วันนี้เรามาทดสอบในสนาม ยังไงก็ต้องหมอบหาแอโรไดนามิกและขับขี่แบบเรซซิ่งกันหน่อย ถ้าจะหมอบก็ทำได้สบาย ๆ ช่วงตัวผู้ขับขี่ท่อนบนทำได้ดี ช่วงท่อนล่างเอวลงไป ยังต้องปรับเล็กน้อย เพราะพักเท้าต่ำจนขูดกับแทร็ก จำเป็นต้องจัดท่านั่งขับให้เหมาะสม เอาจริง ๆ แล้วก็จะบอกว่า แบนโค้งได้ขนาดนี้ ถ้าขี่บนถนนดำก็ถือว่าสุดยอดแล้ว…
กำลังแรงขึ้น
การตอบคันเร่งช่วงย่านความเร็วต้น ๆ ไปจนถึงกลาง ๆ หรือ จังหวะเกียร์รอบกลาง ๆ มาดีขึ้น จนสามารถที่จะเดินคันเร่งได้เลย ไม่จำเป็นต้องมาเชนเกียร์ลงให้เสียจังหวะ เพราะเครื่องยนต์มีกำลังเพียงพอที่จะพาตัวเองออกจากจุดนั้น ถ้าในสนามก็จะเห็นได้ชัดเลยว่า ช่วงที่ต้องกรอคันเร่งเข้าโค้งตัวรถทำได้ดีเลยทีเดียว ขี่ง่าย ไม่เสียจังหวะของรอบเครื่องยนต์ และการตอบสนองคันเร่งทำได้ดีจนสุดปลายเกียร์ก็สามารถทำได้ดีเช่นกัน ในพิกัดเครื่อง 650 ซีซี
ตัวระบบสลิปเปอร์คลัตช์ก็ทำงานได้เนียนลดอาการของตัวรถเวลารวบเกียร์ลงมา ตรงนี้จะพูดถึงในส่วนของการขี่แนวเรซซิ่งในสนามแข่ง เพราะสถานการณ์การทดสอบได้ถูกออกแบบมาเพื่อเค้นสมรรถนะตัวเครื่องยนต์แบบเต็มที่นั่นเอง
ช่วงล่างดีขี่สนามได้ ถนนก็สบาย
ช่วงล่างชุดนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ Showa ทั้งระบบ และโช้คอัพหลังที่สามารถปรับค่าแข็งอ่อนของสปริงได้ แน่นอนว่าถ้าปรับได้ แล้วทำไมเราจะไม่ปรับ ขี่สนามเราต้องการความเฟิร์ม ผมก็เลยขอปรับเพิ่มอีก 3 ระดับ อาการย้วยของตัวรถหายไป ทำให้เข้าโค้งได้ดีขึ้น แต่ก็เป็นเพียงส่วนแรกของช่วงล่างที่มีการปรับ ในส่วนของเบรก และยางก็เป็นของเดิมทั้งหมด ฟีลการเข้าโค้งทำได้ดี รวมไปถึงจังหวะของการจุ่มเบรกลึกโค้งยูเทิร์นใช้คำว่า “เอาอยู่” ได้เลย แต่ถ้าจะเอาไปซิ่งแทร็กเดย์ ก็อาจจะขอร้องให้เปลี่ยน เซ็ตติ้งช่วงล่างให้เหมาะสำหรับสไตล์ผู้ขับขี่ ที่เหลือทักษะจะพารถไปเอง
สรุป
สรุปแล้วนี่คือสปอร์ตไบค์ไซส์กลางที่ออกแบบมาได้ตอบโจทย์ผู้ที่หลงไหลในรถสปอร์ต 4 สูบเรียง ตอบสนองได้ดั่งใจแน่นอน ไม่ว่าจะใช้งานทั่วไปหรือลงขี่แทร็กเดย์ก็พอมือ ช่วงล่างเดิมที่ให้มาเหลือใช้ ที่สำคัญ การดีไซน์ ความหล่อ เทคโนโลยีคันนี้ก็จัดมาให้แบบจบ ครบในคันเดียว ที่เหลือก็เพิ่มทักษะตัวผู้ขับขี่แล้วมาเอ็นจอยกับรถบิ๊กไบค์ให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยมีสนนราคาแนะนำที่ 327,300 บาท ถือว่าไม่แพงเลยกับอ็อปชันที่ให้มาระดับนี้
ส่วนถ้าใครมือใหม่ยังมอง ๆ อยู่ ใจกล้า ๆ กลัว ๆ ก็ขอให้อดใจรอ E-Clutch ดีกว่า เพราะรับรองว่าไม่นานจะมีมาให้ได้ลองขับขี่แน่…
อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่อ่านบทความอื่นๆ เกี่ยวกับ Honda คลิก
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก