รีวิว BMW R1300GS 2025
ขี่ยานแม่ ตามหายีราฟ
ต้อนรับเข้าสู่ช่วงหยุดยาวปีใหม่ สำหรับใครที่กำลังท่องเที่ยว ไปดื่มด่ำบรรยากาศความสุขกับครอบครัวหรือกำลังเดินทางท่องเที่ยวที่ไหนซักแห่ง ก็ขอให้เดินทางอย่างระมัดระวังและปลอดภัย มีสติ รู้ตัว และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่นี้ทาง SuperBikeThailand จะมาเล่าสู่กันฟังถึงประสบการณ์ได้ไปร่วมสัมผัสกับการขับขี่สองล้อในต่างแดนที่ประเทศนามิเบียกับ รีวิว BMW R1300GS 2025 ในกิจกรรม FTT GS TROPHY 2024 เมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ให้ผู้ชมได้อ่านกันครับ
สำหรับใครที่เป็นสาวกสองล้อโดยเฉพาะสายแอดเวนเจอร์ที่ชื่นชอบปีนทราย ไตเขา คงอยากมีโอกาสที่จะได้มาร่วมสัมผัสกับการขี่รถบนเส้นทางภูมิประเทศที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งมันเป็นอะไรที่ให้ประสบการณ์ค่อนข้างแตกต่าง เหมือนอย่างที่แอดมินได้มาร่วมขับขี่เจ้าแอดเวนเจอร์สุดไฮเทคอย่าง R1300GS ที่นามิเบียเช่นกัน
นามิเบีย ดินแดนแห่งทะเลทราย
นามิเบีย ดินแดนแห่งทะเลทรายซึ่งตั้งอยู่ ณ ชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นชื่อที่ใครหลาย ๆ คน อาจไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบอกว่าที่นี่คือแอฟริกาใต้ก็คงจะคุ้นเคยกันดี หรือถ้าหากใครที่เคยดูสารคดีพวกสัตว์ป่าในทุ่งซาฟารี ดูการแข่งขันดาการ์ แรลลี่ โลเคชันนามิเบียเป็นแบบนั้นแหล่ะครับ
มาพร้อมคำถามที่น่าสนใจก็คือ ที่นี่มีสัตว์จำพวกนักล่าหรือไม่..ตอบเลยว่า “มี” แต่สัตว์จำพวกนี้อาศัยอยู่พื้นที่ทางตอนบน อาทิ สุนัขจิ้งจอก เสือ ฮายีน่า และทางรัฐบาลได้กั้นอาณาเขตไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงสัตว์จำพวก ยีราฟ เต่า และที่สำคัญลิงบาบูน (ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่) เพราะฉะนั้นใครที่สนใจเดินทางมาขี่รถในนามิเบีย..อุ่นใจได้ แต่ก็ขอให้ระวัง
โดยหลังใช้วลาราว ๆ 14 ชม. เดินทางจากสุวรรณภูมิมาถึงวินด์ฮุก เมืองหลวงของประเทศนามิเบีย และเดินทางเข้าสู่แคมป์พักแรมใน Midgard ซึ่งเป็นแคมป์ขนาดเล็กคล้ายกับบังเกอร์ พักผ่อนและเตรียมอุปกรณ์ขับขี่ ใช้เฉพาะของที่จำเป็นสำหรับการขับขี่ ก่อนเตรียวตัวเข้าสู่กิจกรรมในวันแรก
EP.1 พร้อมเดินทางมุ่งสู่ Ai Aiba
ต้อนรับวันแรกของการผจญภัยใน FTT GS TROPHY 2024 หลังจากฟังบรีฟจากทีมงานและแบ่งกรุ๊ปขับขี่เรียบร้อยแล้ว (กรุ๊ปขับขี่แบ่งเป็น แอดมิน ลูกค้าจากบีเอ็มดับเบิ้ลยู โมโตราด 3 ท่าน มาร์แชลและทีมงาน) ซึ่งวันนี้..จะเป็นการเดินทางจาก Midgard มุ่งไปยังทิศตะวันตกผ่าน Okahandja > Omaruru สู่ปลายทางและพักแรมที่ Ai Aiba รวมระยะการเดินทางกว่า 270 กม. ด้วยโมเดลแอดเวนเจอร์รุ่นชูโรงของทางค่ายอย่างเจ้า R1300 GS
โดยรูปแบบการเดินทางเป็นแบบแรลลี่ ซึ่ง..!! สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เส้นทางกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของการเดินทางเป็นเส้นทางออฟโร้ด กับสภาพอากาศเฉลี่ยนราว ๆ 35 – 40 องศา อีกทั้งตลอดเส้นทางมีพี่มาร์แชลอย่างครูไก๋ (BMW Motorrad) ครูฝึกสอนและผู้เชี่ยวชาญด้านการขับขี่บิ๊กไบค์ คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งทำให้การเดินทางครั้งนี้ ค่อนข้างอุ่นใจขึ้นเยอะ
หลังจากที่ออกขับขี่ผจญภัยมาได้ซักระยะ ต้องบอกว่า..นี่มัน Sand Country ชัด ๆ มันคือพื้นที่ซาฟารีที่อุดมไปด้วยโขดหินและทรายดี กับสภาพถนนค่อนข้างโล่งโปร่ง มีต้นไม้ข้างทางแลนด์ดิ้งอยู่เป็นย่อม ๆ และค่อนข้างแห้งแล้ง แต่นั่นมิใช่ปัญหาสำหรับการผจญภัยในครั้งนี้ ซึ่งแน่นอนหล่ะ..มากับเจ้า BMW R1300GS สุดยอดตัวท็อประดับตำนานจากค่ายใบพัดสีฟ้า ราชันแอดเวนเจอร์ทัวริ่งขุมพลังบล็อกเซอร์ 1,300 ซีซี ที่ต้องบอกว่าไม่ทำให้ผิดหวัง เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ
EP.2 Ai Aiba – Spitzkuppe – Omaruru
พร้อมเดินทางต่อจาก Ai Aiba เดินทางมุ่งสู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ผ่าน Spitzkuppe สู่ปลายทางที่ Omaruru River Loop กับระยะทาง 340 กม. กับเส้นทางออฟโร้ด 100% ซึ่งไฮไลท์ของตลอดการเดินทางของทั้งสองวันนี้คือเส้นทางที่อุดมไปด้วยทราย ขีดเส้นลากผ่านตามรอยถนนราวกับร่างแบบลายเส้นบนกูเกิ้ลแม็ป ตัดสลับบางช่วงที่ต้องลัดเลาะลำห้วย ผ่านโขดหินใหญ่พอเป็นวิวให้ชมบ้างเล็กน้อย แต่หลักเส้นทางหลักก็คือทรายโล่ง ๆ หล่ะครับ ถ้าหากขี่ที่นี่ได้ ประเทศไทย..ที่ไหนก็ได้จริง ๆ
ด้วยความที่เป็นพื้นที่โล่ง มีเขา กองทราย และกิ่งไม้ตามพุ่มข้างทางแบบหย่อม ๆ ที่ให้ความรู้สึกค่อนข้างเวิ้งว้าง เพราะด้วยความที่เป็นพื้นที่ซาฟารี อุดมไปด้วยสิงสาราสัตว์ แต่ทว่าการขับขี่ในเส้นทางนี้มันเป็นอะไรที่สนุก เพราะเจ้า R1300 รุ่นนี้เรียกได้ว่ากลบความน่าเบื่อแทบจะทั้งหมดเลยก็ว่าได้
R1300 GS ยานแม่แห่งทะเลทราย
หลังจากการทดสอบขับขี่ที่ศูนยฝึก Enduro Park (อ่านรีวิว ทดสอบ R1300 GS คลิ๊กที่นี่) จึงพอมีสกิลเอาตัวรอดบ้างเล็กน้อย แต่ทว่าต้องยอมรับสำหรับด่านทดสอบจริง ทั้งตัวแอดมินและลูกค้าต่างกันพากันนอนฟูกบนกองทรายอยู่หลายรอบทีเดียว
ฟีลลิ่งการทดสอบ
เข้าเรื่องสำหรับการทดสอบขับขี่ แน่นอนว่าการมาของเจ้ารุ่นนี้ทำให้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของโมเดลสายลุยไปค่อนข้างเยอะทีเดียว ซึ่งรุ่นก่อน ๆ ที่เคยสัมผัสอย่าง R1250 มันดีอยู่แล้วสำหรับแอดเวนเจอร์ทัวริ่ง แต่ทว่ามันกลับดียิ่งขึ้นไปอีกในหลาย ๆ จุดสำหรับโมเดลรุ่นนี้
อย่างแรกเลยก็คือ เรื่องของดีไซน์ที่ปรับเปลี่ยนใหม่หมดจด ไฟหน้าเมทริกส์พร้อมไฟหน้าดวงกลมขนาดใหญ่ ไฟเลี้ยวฝังเข้าไว้ที่การ์ดแฮนด์ผสมกับตัวแฟริ่งดีไซน์ใหม่ทั้งหมด ดูเพรียวบางและทันสมัยอย่างเห็นได้ชัด ด้วยลักษณะดังกล่าวทำให้สัมผัสแล้วรู้สึกขับขี่ง่ายยิ่งขึ้น บวกกับตัวเบาะสามารถปรับอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้ายิ่งทำให้รู้สึกสบาย บางครั้งในขณะขับขี่เพลิน ๆ ก็ลืมเลยว่าเจ้านี่มันเครื่อง 1,300 ซีซีเลยนะเว้ย
ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ที่ปรับเปลี่ยนไปเท่านั้น บล็อกเครื่องยนต์ยังถูกปรับใหม่เป็นเอกลักษณ์ตามฉบับขุมพลังบ็อกเซอร์ อัดกำลังด้วยลูกสูบวางนอนไซส์โตขนาด 1,300 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ มีกำลังมากถึง 145 แรงม้า (7,750 รอบ) แรงบิด 149 นิวตันเมตร (6,500 รอบ) จัดวางเพลาข้อเหวี่ยงใหม่ และย้ายชุดเกียร์ไว้ที่ฐานเครื่องยนต์ พ่วงมาพร้อมควิกชิฟเตอร์ Up-Down แอสซิสต์สลิปเปอร์คลัตช์และระบบชิฟต์แคมป์หรือวาล์วแปรผันติดตั้งมาให้
เห็นสเปคเครื่องยนต์แล้วฟีลลิ่งก็มาพร้อมตามสเปคข้างต้นแหล่ะครับ รอบเครื่องยนต์จัดจ้านสุด ๆ ตั้งแต่ออกตัว แต่ทว่าการขับขี่บนเส้นทางที่เป็นทราย จึงอาจทำให้ไม่ได้รับรู้หรือรู้สึกถึงฟีลลิ่งลิมิตของตัวเครื่องยนต์มากเท่าใดหนัก สำหรับเกียร์ที่ใช้ไม่เกินเกียร์ 3 ม้าก็หวดแล้ว บิดยก บิดยก ตามจังหวะวิ่งตามร่องทางทราย แต่ก็มีบ้างที่ลากหวดยาวสำหรับทางที่ไม่ใช่จุดเสียว แต่โดยรวมค่อนข้างมันส์ และเร้าใจกว่าไหน ๆ
เรื่องช่วงล่างนั้นให้มาเต็มระบบและสมบูรณ์แบบ สมฉายา ราชันแอดเวนเจอร์เสียจริง ด้วยโช้คหน้าแบบ Evo Telelever พร้อมตัวเซ็นทรัลสตรัทสปริง เเละโช้คเดี่ยวด้านหลังมาพร้อมระบบ EVO Paralever ช่วยให้การบังคับเลี้ยวให้ดีขึ้น แถมยังปรับช่วงล่างแบบไดนามิก ปรับค่าความแข็งหนึดของตัวสปริงตัวโช้คได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แถมยังสามารถปรับอัตโนมัติตามโหมดขับขี่ได้อีกด้วย ส่วนระบบเบรกเป็นดิสก์ 4 พอตหน้า หลัง 2 ล้อซี่ลวดและยาง 120/70-19, 170/60-17
แน่นอนว่าฟีลลิ่งการสัมผัสมันยอดเยี่ยมโครต ๆ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ชื่นชอบเป็นพิเศษสำหรับการขับขี่ในทริปนี้เลยก็คือ ระบบช่วงล่างที่ปรับอัติโนมัติตามโหมดการขับขี่ได้เต็มรูปแบบ หากเทียบกับเด็กเสริฟ์คงเป็นเด็กเสริฟ์ที่รู้ใจ หรือน้อง ๆ ที่รู้งาน ไม่ดื้อ ไม่ซน แถมเอาใจ..รักเลย เปย์
นอกจากนี้ยังได้แวะเยี่ยมชุมชนหมู่บ้านเล็ก ๆ ระหว่างทาง แวะซื้อไอเท็มติดไม้ติดมือไปกันซักเล็กน้อย
EP.3 เดินทางมุ่งสู่ชายฝั่ง Swakopmund
เดย์นี้น่าจะเป็นเดย์ที่ทรมานที่สุด (ฮ่าๆ) เพราะต้องขับขี่ผ่านล่องหุบเขา Kleine Spitzkoppe พร้อมกองทรายขนาดมหึหาที่กินลึกถึงครึ่งล้อ เรียกทำเอาซะกลิ้งเป็นขบวน..กว่าจะผ่านไปในได้แต่ละคัน เข็นแล้วเข็นอีกแต่ก็ผ่านมาได้ กระทั่งในที่สุดขับขี่มาถึงชายฝั่ง Swakopmund ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางในทริปครั้งนี้ ในที่สุดก็ได้เห็นตึกราบ้านช่องหลังจากไม่ได้เห็นมาหลายวัน
ทั้งนี้ต้องขออนุญาตพักผ่อนและดื่มด่ำบรรยากาศที่นามิเบียให้ชื่นฉ่ำกันซักเล็กน้อย ก่อนเดินทางกลับสู่ Midgard ในวันรุ่งขึ้นแบบวันนอนสต็อป เซอร์วิส
และแล้วก็จบกับทริป FTT GS TROPHY ปี 2024 ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณทาง BMW Motorrad ที่เอื้อเฟื้อ ดูแลและคอยบริการตลอดทั้งทริป ให้พวกเราทีมงาน SuperBike Thailand ได้มาร่วมสัมผัสกับบรรยากาศการขับขี่เจ้า R1300 GS แบบเปิดโลกประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่หาที่ไหนไม่ได้แล้ว
หากใครที่อยากจะมาทดสอบ สัมผัสบรรยากาศขับขี่ในนามิเบีย ก็อยากให้ลองมาสัมผัสสักครั้งในชีวิต แล้วจะติดใจ หรือใครที่สนใจโมเดลรุ่นนี้ ลองไปทดสอบหรือติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ตัวแทนจำหน่าย BMW Motorrad ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือช่องทางเพจในเฟสบุ๊คได้เลย โดยกิจกรรมหรือโมเดลรุ่นต่อไปจะเป็นรุ่นอะไรอย่าลืมฝากติดตามข่าวสารช่องทางเพจ SuperBike กันด้วยนะครับ
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก