Home รีวิวและทดสอบ รีวิว Aprilia Tuareg 660 2023 สายลุยไซส์กลาง ไฮเทคเต็มระบบ 

รีวิว Aprilia Tuareg 660 2023 สายลุยไซส์กลาง ไฮเทคเต็มระบบ 

0

รีวิว Aprilia Tuareg 660 2023 สายลุยไซส์กลาง ไฮเทคเต็มระบบ 

เป็นการรีวิวทดสอบที่น่าตื่นเต้นอีกครั้งนึงที่เราได้มา รีวิว Aprilia Tuareg 660 2023 หลังจากเปิดตัวที่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยค่าตัว 749,000 บาท ซึ่งในการทดสอบครั้งนี้เรามาทดสอบกันที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ฝั่งจังหวัดปราจีนบุรี ที่นี่เราจะได้ทดสอบทั้งแบบแอดเวนเจอร์ในสถานที่ปิด และการขับขี่แบบออนโร้ดบนถนนจริงกับทางยาว ๆ ซึ่งทาง Aprilia Thailand จัดให้ทดสอบกันแบบเต็มสมรรถนะไม่มีกั๊กกันเลย

เอกลักษณ์ระดับตำนาน

เรามาดูตัวรถคันนี้ก่อนดีกว่า เห็นเพรียว ๆ บาง ๆ แบบนี้มีอะไรที่น่าสนใจเยอะเลย เริ่มต้นกันที่ชื่อ Tuareg ซึ่งก็มีที่มาว่าทำไมต้องชื่อนี้ ทัวเร็ก สื่อถึงสัญลักษณ์ของความอิสระ ไร้พรมแดน พร้อมที่จะผจญภัยในทุกเส้นทางได้อย่างอิสระไร้ขอบเขต เหมือนชนเผ่าโบราณในชุดสีฟ้า ผู้ที่อาศัยอยู่กลางทะเลทรายในแอฟริกาเหนือ เป็นเสรีชนที่มองว่าตนเองคือ “ผู้รักในอิสระ” 

ในการออกแบบคันนี้ทาง Piaggio Advance Design Center ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Tuareg 600 Wind จากปี 1988 ที่มีเครื่องยนต์สูบเดียว 562 ซีซี ถือว่าเป็นออฟโรดระดับตำนานอีกรุ่น ที่ยังเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบสร้างคันนี้ขึ้นมา ถือว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจ โดยรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย มีจำหน่ายทั้งหมด 3 สีแดง Martian Red, สีทอง Acid Gold และสีน้ำเงิน Indaco Tagelmust

ตัวรถคันนี้ถูกออกแบบมาในสไตล์ของแอดเวนเจอร์ไบค์ เพรียวบาง เป็นสายลุยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งการดีไซน์ วัสดุและงานประกอบต่าง ๆ ที่ดูแล้วก็รู้เลยว่านี้คือ อาพริเลียแน่นอน ด้วยไฟหน้าดีไซน์คล้ายปีกค้างคาว แบ่งออกเป็น 3 ช่องด้วยไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ กลายเป็นเทพสามตาตามคอนเซ็ปต์ของทางค่าย ระบบส่องสว่างเป็นแบบ Full LED ทั้งคัน พร้อมหน้าจอสีแบบ TFT ขนาด 5 นิ้ว เด่นทั้งดีไซน์ รวมไปถึงตัวแฟริ่งที่มีการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ช่วยในเรื่องแอโรไดนามิกด้วยเรื่องนี้ การันตีไม่มีใครเหมือน 

นอกจากการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ทางค่ายยังคงคำนึงถึงจุดยึดตามตัวเฟรมที่เป็นแบบท่อเหล็กพร้อมซับเฟรมให้ความแข็งแรงทนทานมากขึ้น โดยเพิ่มจุดยึดระหว่างเครื่องยนต์และตัวถังจาก 3 จุดเป็น 6 จุด ทำให้แข็งแรงสมบุกสมบันมากขึ้น ทั้งออกแบบศูนย์ถ่วงให้ต่ำเพื่อความคล่องตัว ให้ทั้งความสบาย ตอบโจทย์การใช้งานแบบออฟโร้ดมากขึ้น ถ้าเติมน้ำมันเต็มถัง จำนวน 18 ลิตร ที่โรงงานเคลมมาว่าเต็มถังวิ่งได้ 450 กิโลเมตร จะทำให้ตัวรถมีน้ำหนักรวมของเหลวทั้งหมด 204 กิโลกรัม ถือว่าเป็นน้ำหนักที่รับได้ในกลุ่มรถแอดเวนเจอร์ไซส์นี้ 

มาดูสัดส่วนแบบหลัก ๆ ที่หลายคนชอบสงสัยก่อนที่จะซื้อรถสิ่งแรกเลยคือความสูงของตัวเบาะรถ ที่มีความสูง 860 มิลลิเมตร ระยะความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 240 มิลลเมตร ระยะความยาวฐานล้อจากล้อหน้าไปล้อหลังอยู่ที่ 1,525 มิลลิเมตร และความกว้างของตัวรถจากปลายแฮนด์ซ้ายไปขวา 965 มิลลิเมตร โดยรวมแล้วมองว่าเป็นไซส์กลางที่มีความเพรียว ยาว สูง เน้นคล่องตัว ภาระน้อย ผ่านอุปสรรคได้ง่าย ๆ 

หัวใจหลักของสายลุย

เครื่องยนต์ 2 สูบเรียง ขนาด 659 ซีซี เกียร์ 6 สปีด ผ่านมาตรฐานยูโร 5 เป็นพื้นฐานเครื่องยนต์เดียวกับ Tuono 660 และ RS660 แต่เครื่องยนต์ตัวนี้มีการปรับอัตราทดเกียร์มาใหม่ทั้งหมด รวมไปถึงการปรับฟันสเตอร์หน้า จากเดิม 17 ฟัน ลดเหลือ 15 ฟัน ยังมีปรับระบบทางเดินไอดีและไอเสียใหม่ เรียกกำลังแรงบิดให้มาไวมากยิ่งขึ้น ทำให้เครื่องของเจ้า Tuareg 660 คันนี้ สามารถให้พละกำลังแรงม้า สูงสุดที่ 80 แรงม้าที่ 9,250 รอบและแรงบิดสูงสุดที่ 70 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบ ซึ่งมาไวกว่าพี่น้องสายสปอร์ตที่เป็นพื้นฐานเครื่องเดียวกัน ตอบโจทย์สายลุย สายออฟโร้ดเลยแบบนี้ 

ช่วงล่างก็สำคัญ จัดมาให้แบบเต็มพิกัดจากโรงงาน เริ่มที่ตัวโช้คอัพจาก KYB โช้คหน้าอัพไซส์ดาวน์แกนขนาด 43 มิลลิเมตรมาพร้อมระยะยืดยุบ 240 มิลลิเมตร โช้คอัพหลังแบบซับแทงค์มีระยะยืดยุบ 106.5 มิลลิเมตร ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สามารถที่จะปรับตั้งค่าได้ทั้งหมดเลย ทั้งพรีโหลด คอมเพรสชันและรีบาวด์ 

ต่อด้วยระบบเบรกก็จัดเต็มจาก Brembo ด้านหน้าเป็นดับเบิ้ลดิสก์ขนาด 300 มิลลิเมตร ดิสก์เบรกหลังขนาด 260 มิลลิเมตร ส่วนตัวล้อเป็นแบบทูปเลสไร้ยางใน ล้อหน้าขนาด 90/90- 21 นิ้ว ล้อหลังขนาด 150/70-18 นิ้ว มาพร้อมยางแบบสองประสงค์จาก Pirelli รุ่น Scorpion Rally STR ตรงสายอิตาลี 

ไฮเทคเต็มระบบ

แน่นอนเรื่องนี้สำคัญ เทคโนโลยีจัดเต็มไม่แพ้ค่ายไหน ฟังก์ชั่นโหมดต่าง ๆ เรียกรวม ๆ กันว่า APRC หรือ Aprilia Performance Ride Control เป็นระบบช่วยเหลือควบคุมเสถียรภาพ พร้อมกับเสริมสมรรถนะและความปลอดภัยขณะขับขี่ เป็นการพัฒนามาโดยเฉพาะเพื่อการใช้งานแบบออฟโร้ดตอบโจทย์ทุกสไตล์ ซึ่งก็มีด้วยกันดังนี้

–         ATC หรือ Aprilia Traction Control ระบบป้องกันล้อหมุนไม่เท่ากัน สามารถปรับได้ถึง 4 ระดับ และสามารถเปิดปิดได้ในทุกโหมดการขับขี่ 

–         AEB หรือ Aprilia Engine Brake ระบบควบคุมแรงเบรกจากเครื่องยนต์ สามารถปรับได้ 3 ระดับ ในระดับ 3 จะมีแรงเอ็นจิ้นเบรกมากที่สุด 

–         AEM หรือ Aprilia Engine Map คือระบบการตอบสนองของเครื่องยนต์ สามารถปรับได้ 3 ระดับ โดยโหมด 1 เป็นโหมดที่แรงที่สุด 

–         ABS หรือ Anti-lock Braking System หรือ ระบบป้องกันล้อล็อก สามารถช่วยเพิ่มความปลอดภัยในขณะเบรกได้ และยังสามารถเปิดปิดได้อีกด้วย

–         ACC หรือ Aprilia Cruise Control ระบบนี้ช่วยควบคุมความเร็วให้อัตโนมัติเหมาะสำหรับสายทริปสายเดินทาง สามารถใช้ได้ในเกียร์ 3 ขึ้นไป    

ส่วน Riding Mode หรือโหมดการขับขี่ที่อยู่ใน Aprilia Tuareg 660 คันนี้ มีให้ถึง 4 โหมด ได้แก่

–         URBAN ขับขี่ในเมือง ใช้งานแบบทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน 

–         EXPLORE โหมดนี้เหมาะสำหรับสายเดินทางออกทริป เร่งแซง เติมคันเร่งได้มั่นใจ 

–         OFF-ROAD โหมดนี้เหมาะสำหรับสายลุย ระบบช่วยเหลือต่าง ๆ จะมีความละเอียดที่ต่ำลง สามารถเปิดปิดระบบ ABS ได้เฉพาะล้อหลังได้ ถูกใจสายลุยแน่นอน 

–         INDIVIDUAL โหมดนี้เป็นโหมดคัสตอม อยากได้อะไรแบบไหน สามารถปรับเปลี่ยนได้เองเลย 

ยังไม่หมดแค่นี้ ยังมีเทคโนโลยีที่จะเพิ่มความล้ำสมัยตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ อย่าง Aprilia MIA Connectivity System เป็นทั้งระบบนำทาง การแสดงข้อมูลตัวรถต่าง ๆ บนสมาร์ทโฟน แต่ต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์เสริม PMP ก่อนถึงจะใช้ในส่วนนี้ได้ 

ฟีลลิ่งการขับขี่

การทดสอบในครั้งนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยช่วงเช้าจะเป็นการทดสอบในสนามทดสอบแบบออฟโร้ด มีอุปสรรคมากมาย เนินดิน ทางโคลน ก้อนหินกรวดเท่าแขน  ลุยทางน้ำลึกเกือบ ๆ ครึ่งเมตร ที่ทางอาพริเลียไทยแลนด์ได้ไว้วางใจให้อาจารย์เล่ Bikelane ช่วยออกแบบเส้นทางให้ทั้งหมด เรียกได้ว่าครบรสชาติ จับฟีลลิ่งการขี่ได้ชัดเจน และในช่วงบ่ายจะเป็นเส้นทางธรรมชาติ รอบเส้นขอบตีนเขาใหญ่ มีทางดำให้ด้วยแบ่งกันครึ่ง ๆ ตรงนี้ก็ดูท้าทายดี เพราะเราไม่สามารถรู้เส้นทางได้ล่วงหน้า จะลุย จะผ่าเส้นทางยังไง ขึ้นอยู่ที่ทักษะของผู้ขับขี่และสมรรถนะตัวรถล้วน ๆ เลย ผมได้แต่คิดในใจมันต้องแบบนี้สิมันถึงจะได้ทดสอบแบบถึงพริกถึงขิง 

 ฟีลลิ่งแรกเลยที่สัมผัสได้นั่นก็คือท่านั่งการขับขี่ ความสูง 171 เซนติเมตร ขาถึงพื้นแบบพอดิบพอดีแต่ใส่รองเท้าบูท Tech10 ด้วยนะอาจจะช่วยได้อีกหน่อย ลองขยับตัวโยกซ้ายโยกขวาก็รู้สึกได้ว่า เบาะให้ความนุ่ม แต่ก็สามารถขยับก้นได้ง่าย ตรงนี้ช่วยได้ในการควบคุมและบาลานซ์ตัวรถ ทำขี่ได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงตัวแฮนด์ที่มีขนาดที่กว้างเกือบ ๆ เมตร ตรงนี้ก็เป็นส่วนช่วยให้การคอนโทรลตัวรถได้ดีเลยทีเดียว ในการเลี้ยวในท่าทางต่างๆ จังหวะที่ต้องยืนรู้สึกได้ถึงความบาง จะให้ฟีลลิ่งที่คล้ายคลึงกับรถเอ็นดูโร่ 250-300 ซีซี ถึงแม้จะนั่งขี่แต่ก็ให้ฟีลลิ่งดีเลยทีเดียว ในส่วนนี้ตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียว ภาระน้ำหนักจากตัวรถน้อย ขี่ง่าย คล่องตัว 

 พลังเครื่องยนต์ แรงบิดมาไว คันเร่งไฟฟ้าตอบสนองได้เป็นอย่างดี ช่วงเช้าได้ลองขับขี่ในโหมด Urban กำลังมาแบบทั่ว ๆ ไป สบาย ๆ คันเร่งมาแบบสมู้ท ๆ ขี่ง่าย ๆ แต่ก็มีการปรับในส่วนของ ATC ลดความละเอียดลงมา เพิ่มกำลังไปที่ตัวล้ออีกหน่อยช่วยให้การขับขี่ได้มากขึ้น จริง ๆ ก็มีพื้นผิวหน้าดินที่เปียกจากฝนตกเมื่อคืน รอบแรกก็วอร์ม ๆ ไปกันก่อน รอบสองก็ลองเพิ่มกำลังมาอีกนิด

ในรอบสองของช่วงเช้า รอบนี้เปิดโหมด Off road เลย โหมดนี้ ABS ล้อหลังถูกปิดแต่ก็ยังมี ATC ระดับ 1 อยู่ รอบนี้มาดีขึ้น การใช้เบรกคอนโทรลทิศทางตัวรถทำได้ง่าย เดินคันเร่งในโค้งได้มากขึ้น เกียร์เริ่มตึงขึ้น ตรงนี้รู้สึกได้ว่าขี่ได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม สนุกขึ้น ส่วนความแรงไม่ต้องห่วงเลยรอบบ่ายเกียร์ 3 ก็ได้ลองความเร็วไต่ไปถึง 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว คันเร่งมาดี 

เมื่อมาลองขี่ถนนดำก็รู้สึกได้ว่าตอบสนองเราได้ดี บิดเป็นมา แซงก็ง่าย เครื่องยนต์ตัวนี้ มีการปรับจูนให้ต่างจากสปอร์ตไบค์ที่ใช้พื้นฐานเครื่องยนต์เดียวกัน แรงบิดมาไวตั้งแต่รอบต่ำ ๆ จะขึ้นเนิน เติมคันเร่งในโค้ง หรือแม้กระทั้งขี่ถนนดำก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดี บอกรอบต้นมาไว ๆ เครื่องตัวนี้แจ่มเลย 

นอกจากนี้ในส่วนของช่วงล่างก็ดีจนรู้สึกได้ ช่วยผู้ขับขี่ได้เยอะเลยจนรู้สึกว่ามันผ่านไปได้ไงละเนี่ย ช่วงที่ทดสอบทางออฟโร้ดช่วงเช้า ด่านที่รู้ฟีลลิ่งมากที่สุดเลยคือ กรวดหินก้อนใหญ่ ๆ ที่ปูพรมไว้ แรงกระแทกจากพื้นขึ้นมาที่มือน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะระยะยุบของตัวโช้คหน้าที่เยอะ ปรับค่าได้อีก ตรงนี้ถือว่าให้มาคุ้ม และอีกส่วนเลยคือ ระบบเบรกที่ติดตัวรถมาชื่อแบรนด์ก็มั่นใจได้แล้ว Brembo ดิสก์คู่ ฟีลลิ่งเบรกหนักบนถนนดำรู้สึกได้ว่ากำเบรกหนัก ๆ แล้วดูด ยึด ยางก็มีส่วนดำที่ให้มาแบบสองประสงค์จากพีเรลลี ทางดำก็ได้ ทางลุยก็ทำได้ในระดับนึง ถือว่าเป็นองค์ประกอบทำให้ตัวรถเบรกได้ระยะดีเลยทีเดียว ส่วนทางดินออฟโร้ด เบรกที่ล้อหลังก็ช่วยปรับทิศทางได้ดี แต่ฟีลลิ่งถนนดำทำได้ดีกว่าเยอะเลย เหมาะสำหรับสายทัวริ่งแอดเวนเจอร์ เดินทางก็ได้ลุยก็ดี 

เทคโนโลยีที่ได้ลองใช้แบบหลัก ๆ เลยในการทดสอบครั้งนี้ คือ ATC และ Riding Mode  ที่จะทำให้การผ่าอุปสรรคต่างๆทำได้ออกมาอย่างสวยงาม แต่ก็พูดถึงการปรับจากนิ้วมือก็ทำได้ง่าย ปรับขณะขับขี่ได้ด้วย จะลุย จะทางดำ ก็ปรับได้เลย ส่วนนี้ถือว่าปัจจัยต่าง ๆ สภาพถนน การขับขี่ และการตอบสนองใจคนขี่ล้วน ๆ ก็ปรับให้ถูกใจกันไปเลย มีให้ปรับเยอะเเยะใช้งานเต็มที่ ส่วนอีกอันที่อยากลองความง่ายในการใช้งานเลยคือ ครูซคอลโทรล เงื่อนไขง่าย ๆ คือต้องเกียร์ 3 ขึ้นไป กดจากปะกับฝั่งซ้ายได้ง่าย ๆ เลย เบรกเมื่อไรก็ยกเลิกอัตโนมัติ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็จะถูกแสดงสถานะทั้งหมดอยู่ที่จอ TFT ของรถทั้งหมด อ่านค่าและสังเกตได้ง่าย ที่สำคัญล้ำสมัยกว่าเพื่อนในคลาสเดียวกัน

สรุปคันนี้ “ดี” ทั้งคัน 

Aprilia Tuareg 660 เป็นแอดเวนเจอร์ไบค์ขนาดกลาง ที่จัดเต็มเทคโนโลยี APRC มาให้แบบเต็มคันระบบต่าง ๆ ทำให้ตัวรถคันนี้ขี่ง่ายมากขึ้น รวมไปถึงส่วนประกอบต่าง ทั้งช่วงล่างที่พร้อมตอบสนองการขับขี่ทุกรูปแบบ ระบบเบรกเหลือใช้ ล้อทูบเลส ยางจากพีเรลลี ถูกจัดทรงมาให้นั่งง่าย ขี่ง่าย ลุยได้ เดินทางสบาย มีอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมให้อีกด้วย ส่วนตัวคิดว่าเปิดราคามา 749,000 บาท หลาย ๆ คนก็คิดว่าสูง แต่ดูของที่ให้มาก่อน จัดเต็มขนาดนี้ แบรนด์ระดับโลก ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ที่พร้อมจะมอบให้ผู้ขับขี่แบบจัดเต็มอยู่แล้ว ผมก็คิดว่าใครสนใจอ่านถึงตรงนี้ ต้องไปหาเวลาชมตัวจริง ได้ลองขี่ บอกเลย ติดมือ ติดใจแน่นอน ยังไงก็ฝากรีวิวคันนี้ไว้ด้วย

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณอาพริเลีย ไทยแลนด์ ที่เชิญเรามาทดสอบครั้งนี้ และ ครั้งต่อไปจะเอาเจ้าทัวเร็กไปลุยที่ไหนก็ติดตามกันได้เลย….  

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Exit mobile version