spot_img
spot_img
spot_img
spot_img

รีวิว ZX-4R SE เครื่อง 4 เม็ดเรียง เสียงหวานเจี๊ยบ..!!

รีวิว ZX-4R SE เครื่อง 4 เม็ดเรียง เสียงหวานเจี๊ยบ..!!

รีวิว ZX-4R SE

ทันใจวัยรุ่นไทยเสียจริง ๆ กับเจ้านินจา 4 เม็ดเรียงคันใหม่จาก Kawasaki ซึ่งคราวนี้ใจถึงจัดทดสอบรถให้สื่อได้ขับขี่ในรูปแบบสนามแบบเต็ม ๆ ไม่เกรงใจอากาศร้อนเดือนเมษายนกันเลย และแน่นอนเราก็ไม่พลาดหลังจากไปขับขี่กันมาแล้วก็มาทำ รีวิว ZX-4R SE มาให้แฟน ๆ SuperBike Thailand ได้เสพกันครับ

หน้าตาที่คุ้นเคย

มองผ่าน ๆ หล่อไม่ต่างจากรุ่นพี่ในค่ายเดียวกันเลย

มุมมองของนักซิ่งตรงแบบนี้

คันไม่เล็กไม่ใหญ่ กำลังดีเลย

ท่อไอเสียจากโรงงาน เสียงเร้าใจ แต่ไม่ผิดกฏหมายนะเออ

สำหรับเจ้าคันนี้คือสปอร์ตไบค์หรือซูเปอร์สปอร์ต สไตล์แบบเรซซิ่งเลย แต่ก็จะคุ้นหน้าคุ้นตา ด้วยความที่เราเคยเห็นน้องเล็กอย่าง ZX-25R กันมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งการดีไซน์ของคันนี้ก็มีความละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่ แต่จะมีมิติตัวรถที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยจากเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่า ชุดแฟริ่ง ลวดลายสวยงาม โดยเฉพาะโมเดล SE ที่เราได้ทดสอบที่มาในเฉดสีแบบเดียวกับทีมแข่ง หรือก็คือลาย KRT (Kawasaki Racing Team) นั่นเอง

รีวิว ZX-4R SE
ไฟหน้าที่คุ้นเคย LED อีกเช่นกัน

ไฟเลี้ยว LED บิลต์อิน

รีวิว ZX-4R SE
หน้าจอสี TFT สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้

ไฟท้าย LED ทรงซิ่ง

ระบบไฟส่องสว่างเป็น LED ทั้งคัน ด้านหน้าไฟหน้าคู่ ไฟเลี้ยวหน้าบิลด์อินติดในตัวแฟริ่งด้านข้าง ตรงกลางใต้ไฟหน้าเป็นแรมแอร์ขนาดใหญ่ไว้สำหรับดักอากาศเข้าห้องไอดี ถัดเข้ามาด้านในตัวรถมีหน้าจอสี TFT 4.3 นิ้ว ปรับหน้าจอการแสดงผลได้ทั้งแบบ Normal และแบบ Circuit ช่วยเพิ่มความเท่และความสะดวกในการใช้งานให้มากขึ้น ทั้งยังแสดงผลชัดเจน ตลอดจนสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ช่วยให้สามารถใช้งานลูกเล่นต่าง ๆ ผ่านแอพพลิเคชัน Rideology ได้เพิ่มเติม เรียกได้ว่าฟังก์ชั่นครบพร้อมใช้งาน ส่วนถังน้ำมันและเบาะผู้ขับขี่ ก็ออกแบบมาได้กะทัดรัด ใส่เบาะผู้ซ้อนมาให้ด้วย ทำให้สามารถใช้งานแบบมีคนซ้อนในชีวิตประจำวันได้ด้วย พิเศษสำหรับ SE จะมีชิลด์หน้าสีสโม้ค ช่องจ่ายไฟแบบ USB และกันล้มข้างมาให้ด้วยนะ

4 เม็ดเรียงเสียงเร้า

สำหรับขุมพลังก็บอกเลยว่าถูกใจไบเกอร์ชาวไทยทั้งหลายอย่างแน่นอน เพราะมันคือสี่สูบเรียงเสียงกระเส่าขนาดความจุ 398 ซีซี ให้กำลัง 75 แรงม้า ที่ 14,500 รอบ/นาที  ถ้า และเมื่อแรมแอร์ทำงานแบบเต็มที่ ก็จะเพิ่มเป็น 77 แรงม้า ที่ 14,500 รอบ/นาที ส่วนแรงบิด ให้มาที่ 37.6 นิวตันเมตร ที่ 12,500 รอบ/ นาที ทางโรงงานบอกมาด้วยว่า เรดไลน์ของเครื่องยนต์สูงกว่า 15,000 รอบกันเลยทีเดียว

ควิกชิฟเตอร์แบบสองทางก็มีมาให้จากโรงงาน

เครื่องตัวนี้มาพร้อมเกียร์ 6 สปีด และคันที่เราทดสอบเป็น SE Edition ที่ติดตั้งควิกชิฟเตอร์แบบ 2 ทางมาให้จากโรงงาน ยังมีระบบแอสซิสต์และสลิปเปอร์คลัตช์มาให้ด้วย ซึ่งช่วยในเรื่องการขับขี่ได้ดีเลย ทุกอย่างถูกควบคุมด้วยกล่อง ECU พื้นฐานเดียวกันกับ Ninja Z H2 ถือว่าเป็นเครื่องยนต์สมรรถนะสูงอีกรุ่นที่คาวาซากิพัฒนาขึ้นมาได้ดีมาก ๆ

ช่วงล่างจัดเต็ม

โช้คหน้าหัวกลับ Showa SFF-BP ปรับพรีโหลดได้

โช้คหลังแบบนอนพร้อมกระเดื่อง

ในส่วนของช่วงล่างนั้นถือว่าให้มาค่อนข้างดีเลยทีเดียว ด้านหน้าจะมีโช้คอัพแบบอัปไซด์ดาวน์ Showa SFF-BP ซึ่งสามารถปรับตั้งค่าพรีโหลดได้ (เฉพาะรุ่น SE) จึงสามารถปรับให้เหมาะสมกับการขับขี่ทั้งในสนามแข่ง หรือใช้งานในชีวิตประจำวันได้ ส่วนโช้คอัพด้านหลังเป็นแบบวางนอนร่วมกับกระเดื่องซึ่งถอดแบบมาจาก ZX-10R

รีวิว ZX-4R SE
ดิสก์เบรกหน้าคู่ คาลิเปอร์เรเดียลเมาท์ บอกเลยว่ามาดี

ดิสก์หลังเดี่ยวปั๊มนิชชิน ของดีมีมาตรฐาน

ในส่วนของระบบเบรก ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกคู่ขนาดจาน 290 มม. ปั๊มเบรกโลโก้ Kawasaki แบบเรเดียลเมาส์ 4 ลูกสูบ ด้านหลังดิสก์เบรกเดี่ยวขนาดจานเบรก 220 มม. มาพร้อม ABS Unit ที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับรุ่นนี้ เพื่อให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ในส่วนของตัวล้อนั้น หน้าหลังมีขนาด 17 นิ้ว มาพร้อมยางหน้า 120/70 และ 160/70 เป็นแบรนด์ Dunlop ติดมาจากโรงงาน

เทคโนโลยีแน่น

ต่อกันในเรื่องของเทคโนโลยีของเจ้า 4R กันบ้าง ตัวรถนั้นใช้ระบบคันเร่งแบบไฟฟ้า ดังนั้นสิ่งแรกเลยคือตัวรถจะมี Riding Mode หรือโหมดการขับขี่ที่มีมาให้ถึง 4 โหมด Sport , Road , Rain และ Rider (Manual) โดยแต่ละโหมดก็จะมีการตอบสนองคันเร่งที่แตกต่างกันออกไป แต่ครั้งนี้มาทดสอบที่สนาม ก็จัดเต็มพิกัดโหมด Sport ทุกรัน ตึงมือกันไปเลย

ต่อมาที่ระบบ KTRC (Kawasaki Traction Control) หรือแทร็คชันคอนโทรลนั่นแหละ จะแบ่งเป็น 4 โหมดด้วยกันดังนี้

Off – ปิด เหมาะกับผู้ชำนาญการหรือนักแข่งนั่นเอง

Mode 1 – ยังมีจังหวะที่ปล่อยให้ล้อสลิปได้ เหมาะกับการขับขี่ของมือเก๋า หรืออยากจะซิ่งในแทร็ก

Mode 2 – มีความละเอียดมากขึ้นอีกระดับ ปลอดภัยมากขึ้น

Mode 3 – มีความละเอียดมากที่สุด ทำงานตัดกำลังเครื่องยนต์ฉับไว ทันที ซึ่งก็จะปลอดภัยมากที่สุดเหมาะกับการขับขี่บนถนนลื่น หรือฝนตก ถนนเปียก

และแน่นอนว่ารหัส SE ต่อท้ายก็จะมีระบบ KQS (Kawasaki Quick Shifter) หรือควิกชิฟเตอร์นั่นเอง โดยจะให้มาเป็นแบบ 2 ทาง ช่วยให้สามาถใส่เกียร์โดยไม่ต้องกำคลัตช์ ทั้งขึ้นเกียร์ ลงเกียร์ และสามารถที่จะเปิดปิดตัวนี้ แต่คิดว่าเปิดไว้ จะช่วยให้การขับขี่เร้าใจมากยิ่งขึ้นไปอีก

ฟีลลิ่งการขับขี่ในสนามแข่งพีระเซอร์กิต

ท่านั่งสปอร์ต

แน่นอนว่าท่านั่งของเจ้าซูเปอร์สปอร์ต 4 สูบเรียงคันล่าสุดอย่างเจ้า 4R คันนี้ย่อมออกแบบท่านั่งมาแบบสปอร์ต แต่ก็ออกแบบมาได้ดี ไม่ชันเข่ามากจนเกินไป ระยะแฮนด์จับโช้คเองก็ได้องศาพอดี เวลาขับขี่ช่วงจังหวะที่เลี้ยวโค้งความเร็วสูง ๆ รู้สึกได้ว่าตำแหน่งพอดิบพอดี ส่วนท่านั่งยังคงให้ความสบาย สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้ แต่ถ้าอยากจะขี่ในแทร็กสนามแข่งจริงจัง ปรับแต่งใส่เกียร์โยงชุดนึง ก็เทโค้งได้แบบมันส์ ๆ เลยละ

เครื่องยนต์เต็มสิบไม่มีหัก

เป็นเครื่องยนต์ที่ผมรู้สึกได้ถึงฟีลลิ่งสปอร์ตที่แท้ทรู เครื่อง 4 สูบเรียงในพิกัดนี้หาคู่เทียบได้อยาก ถ้าจะเทียบคงต้องไปเทียบตัวที่สูงขึ้นไป เรียกว่า ท้าชนได้เลย ความเร็วที่ทำได้ในสนามพีระเซอร์กิต ช่วงทางตรงของสนามนี้ผมสามารถทำได้ 183 กม./ชม. แต่จะบอกว่ายังแค่เกียร์ 4 เองนะ รู้สึกว่าไปได้อีกเยอะ

การตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้า ทำได้ดีเลยสำหรับโหมด Sport การเดินคันเร่งในโค้งก็สมู้ท ออกโค้งก็มาไว ถูกใจวัยรุ่น ในสนามรอบเครื่องยนต์ก็จะตึง ๆ หน่อย หมื่นกว่า ๆ ทุกย่านความเร็ว

รีวิว ZX-4R SE

ในอีกส่วนที่พูดถึงฟีลลิ่งได้แบบเต็ม ๆ คือ ควิกชิฟเตอร์ ใส่เกียร์ได้แม่นยำ ฉับไว สายสนามถูกใจสิ่งนี้ เอาจริง ๆ เลยนะ ZX-4R SE เอาไปทำรถแข่งในพิกัดซีซีเดียวกัน คิดว่าลุยได้เลยละ

ช่วงล่างโอเค

รีวิว ZX-4R SE

สำหรับฟีลลิ่งเรื่องช่วงล่างนั้น สำหรับการขับขี่ใน “สนามแข่ง” ผมว่าโช้คยังมีความรู้สึกนุ่มไปนิดเวลาใส่เข้าไปในโค้งด้วยความเร็วสูง ๆ อาจจะมีจังหวะที่โช้คอัพยุบเยอะไปหน่อย แต่ในรุ่น SE สามารถที่จะปรับเพิ่มความแข็งของสปริงได้ จึงไม่ใช้ปัญหาอะไร สามารถเซ็ตได้

แต่ถ้าเอาไปใช้งานบน “ถนนดำ” ทั่ว ๆ ไป ถือว่าตอบโจทย์เลยละ นุ่มนวล สบาย ขี่ง่าย ซับแรงได้ดีอย่างแน่นอน เพราะลองเหยีบบเอเป็กซ์ ในสนามแข่งโค้ง S1, S2 ตัวโช้คซับแรงได้ดีเลย ถ้าเทียบกับสภาพถนนดำในเมืองไทยแล้ว ตอบโจทย์ ในส่วนของฟีลลิ่งเบรก ด้านหน้าดิสก์เบรกคู่ไว้ใจได้ เบรกลึก เทรลเบรกในโค้ง ให้แรงเบรกที่ดีควบคุมและไว้ใจได้ ส่วนเบรกหลังในสนามยังไม่ได้ใช้มากนัก แต่การช่วยชะลอ เบรกหลังก็ทำได้ดี

คุ้มไหม คำถามที่เจอมาเยอะ..!!

ค่าตัวคันนี้ 360,000 บาท ส่วนตัวผมรู้สึกได้ว่าคุ้มนะ ถ้าใครที่เป็นมือใหม่ หรือ ใครที่กำลังมองหาสปอร์ตไบค์ 400 ซีซี เสียงหวาน ๆ เหมือนรถแข่ง แล้วก็อยากได้รถซีซีกลาง ๆ ขี่ง่าย เทคโนโลยีเครื่องยนต์ซิ่ง ๆ ช่วงล่างพร้อม ๆ แบบนี้ ตลอดไปจนถึงอ็อปชันที่มีมาให้ค่อนข้างครบครัน ถือว่าเป็นอะไรที่จ่ายได้ จะขี่ถนนดำก็ดี หรือจะเอามาลงสนามแข่ง ขี่แทร็กเดย์ ก็ไม่อายใคร คันนี้ คุ้มแน่นอน เพราะของมันแจ๋ว..!!

สเปก และรายละเอียดอื่น ๆ

เครื่องยนต์ 4 สูบเรียงระบายความร้อนด้วยน้ำ
ปริมาตรกระบอกสูบ 398 ซีซี
แรงม้า (เคลม) 75 (76) แรงม้าที่ 14,500 รอบ
แรงบิด (เคลม) 37.6 นิวตันเมตรที่ 12,500 รอบ
ระบบวาล์ว DOHC 4 วาล์วต่อสูบ
ขนาดกระบอกสูบ/ช่วงชัก 57.0 X 39.1 ม.ม.
อัตราส่วนการอัด 12.3:1
ระบบเกียร์ 6 สปีด
ระบบจุดระเบิด ไฟฟ้า
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง หัวฉีดไฟฟ้า
ระบบสตาร์ท สตาร์ทไฟฟ้า
ระบบคลัตช์ คลัตช์เปียกแบบหลายแผ่นซ้อนกัน
ระบบส่งกำลังสุดท้าย โซ่
ล้อและยางหน้า ล้ออลูมิเนียม 120/70-ZR17″ M/C 58W แบบไม่ใช้ยางใน
ล้อและยางหลัง ล้ออลูมิเนียม 160/60-ZR17″ M/C 69W แบบไม่ใช้ยางใน
ระบบกันสะเทือนหน้า โช้คหัวกลับ Showa SFF-BP ขนาด 37 ม.ม.
ระบบกันสะเทือนหลัง สวิงอาร์ม กระเดื่องและโช้คเดี่ยว ปรับพรีโหลดได้
เบรกหน้า (เบรค) ดิสก์เบรกคู่ขนาด 290 ม.ม. คาลิเปอร์เบรกเรเดียลเมาท์แบบ 4 ลูกสูบ ระบบเบรก ABS
เบรกหลัง ดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 220 ม.ม. คาลิเปอร์เบรก 1 ลูกสูบ ระบบเบรก ABS
ยาว X กว้าง X สูง 1,990 X 765 X 1,110 ม.ม.
ระยะฐานล้อ 1,380 ม.ม.
ระยะห่างจากพื้นถึงตัวรถ 135 ม.ม.
ความสูงเบาะ 800 ม.ม.
น้ำหนักรถ 189 ก.ก.
ความจุถังน้ำมัน 15 ลิตร
ประเภทของน้ำมันที่เติมได้ NA
เทคโนโลยี
  • ระบบแอสซิสต์และสลิปเปอร์คลัตช์
  • ระบบเบรก ABS
  • หน้าจอสี TFT เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้
  • ระบบไฟ LED เต็มระบบ
  • ระบบคันเร่งไฟฟ้า
  • โหมดการขับขี่ 4 โหมด
  • ระบบแทร็คชันคอนโทรล
  • ระบบควิกชิฟเตอร์แบบ 2 ทาง

 

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

- Advertisement -

บทความยอดนิยม