Italjet Dragster 300 แดร็กสเตอร์ เกิดมาซิ่ง
“Italjet Dragster 300 นี่มันไม่ใช่รถสกู๊ตเตอร์ หรือรถประเภทที่ให้คาแรคเตอร์ความสะดวกสบายในการใช้งานเป็นหลัก มองข้ามความคิดเรื่องนั้นออกไปได้เลย แต่ถ้าพูดในเรื่องของการเพอร์ฟอร์มานซ์ เอาไปเลยเต็มสิบ ! นี่..แม่งรถอะไรวะ ขี่มันส์ชิบหาย”
หลังจากเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการไปเมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้ กับแบรนด์รถสัญชาติอิตาลีอย่าง Italjet พ่วงมาพร้อมกับการเปิดตัวดีลเลอร์ในไทยอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย ถึงคราวนี้ก็ได้ฤกษ์โอกาสอันดีที่จะได้ร่วมทดสอบขับขี่ รีวิว Italjet Dragster 300 รุ่นนี้ ในรูปแบบของ Track Test
*สำหรับการรีวิวแบบ On Road เราก็ได้แอบทดสอบกันไปแล้ว ดูรีวิว คลิ๊กที่นี่*
แต่คราวนี้เราได้นำมาทดสอบที่สนามมอเตอร์ สปอร์ต ปาร์ค สุวรรณภูมิ พร้อมการรีวิวในแต่ละส่วนว่าความพิเศษของโมเดลรุ่นนี้มันมีอะไรเป็นพิเศษ รวมถึงตัวแบรนด์นั้น มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร และข้อสงสัยต่าง ๆ เดี๋ยวเราทำประเด็นแยกไว้เป็นข้อ ๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายต่อการอ่านกันครับ
Italjet Dragster 300 ประวัติแบรนด์
Italjet ถือเป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์จากสัญชาติอิตาลีที่ก่อตั้งเมื่อปี 1959 จากความหลงใหลในการขับขี่สองล้อท่องเที่ยวทั่วโลกของชายผู้ก่อตั้งอย่างคุณ ลีโอปอลโด ตาร์ตารินี ซึ่งหลังออกท่องโลกมาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว คุณลีโอปอลโด จึงมีไอเดียที่จะสร้างรถสองล้อขนาดเล็ก จึงก่อให้เกิดโมเดล Italjet บัดนั้นเป็นต้นมา
ด้วยคอนเซ็ปต์ “เราต้องนำหน้าคู่แข่งอยู่หนึ่งก้าวเสมอ” จึงทำให้โมเดลต่าง ๆ ที่ออกแบบมาดูล้ำ ไม่เหมือนใคร ทั้งนวัตกรรม งานดีไซน์และเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยปัจจุบันแบรนด์ อิตัลเจ็ท ผลิตโมเดลออกมามากมายแล้วกว่า 150 โมเดล และส่งออกจำหน่ายกว่า 40 ประเทศทั่วโลก
สำหรับเจ้า Dragster 300 ถูกเผยโฉมให้เห็นครั้งแรกในงาน EICMA เมื่อช่วงปลายปี 2023 ที่ผ่านมา และนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดย บริษัท มาเวอร์ริค กรุ๊ป จำกัด ผู้นำเข้ารถจักรยานยนต์ Italjet เพียงรายเดียวในประเทศไทย พร้อมประกาศเปิดตัวดีลเลอร์เป็นที่เรียบร้อย โดยมีโชว์รูมบริการกว่า 10 โชว์รูม และ 14 ศูนย์เซอร์วิสเซ็นเตอร์ทั่วประเทศ
Italjet Dragster 300 ดีไซน์เอกลักษณ์ ล้ำสมัย
ต้องเรียนว่านี่ไม่ใช่รถสกูตเตอร์ นี่คือรถแดร็กสเตอร์ ที่มีดีไซน์ออกแบบดูสวยงาม และค่อนข้างแตกต่างจากโมเดลแบรนด์อื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง ทั้งมิติรูปลักษณ์การดีไซน์ออกมาในแบบสปอร์ต ผสานความดิบเปลือยกับตัวเฟรมที่เป็นเฟรมถักสีแดงเด่น ๆ ยึดกับชิ้นส่วนโครงเหล็กงาน CNC ออกแบบดูล้ำสมัย เช่นเดียวกันกับพาร์ทแฟริ่ง ดีไซน์มาในแบบรถสปอร์ตและแตกต่างจากโฉมรุ่นอื่น ๆ ด้วยเส้นสายตามขอบ พร้อมวิงก์เลตด้านข้าง และแผงระบายอากาศ นอกจากนี้ยังประดับลวดลายด้วยแทบสีธงชาติในแบบรถอิตาลี ส่อให้เห็นถึงสไตล์การออกแบบและรสนิยมในแบบยุคตะวันตก
ไฟหน้า LED ทรงดุดัน | |
หน้าจอสี TFT | |
เบาะทรงสปอร์ต ท้ายออกแบบตูดมด เสมือนรถทรงสปอร์ต |
|
วิงก์เลตด้านข้าง |
พร้อมไฟหน้าและไฟท้ายดีไซน์มาในแบบรถ SuperBike ไฟเลี้ยวถูกบิวต์อินตรงบริเวณการ์ดแฮนด์ เก็บงานเดินสายออกมาดูเนี๊ยบ ไม่เทอะทะ สวมปลอกแฮนด์ตรงรุ่น กุญแจดีไซน์ใหม่ ช่องเสียบ USB Type A และหน้าจอสี TFT ติดตั้งมาให้ในรุ่นนี้ นอกจากนี้ตัวเบาะเป็นงานตัดเย็บออกแบบทรงสปอร์ต มีช่องใต้เบาะไว้สำหรับใส่ของประมาณหนึ่ง และสวมท่อปลายยกสูงติดครอบแสตนเลสมาไว้เรียบร้อย
เครื่องยนต์และสมรรถนะ Italjet Dragster 300
พร้อมความพิเศษด้วยการวางบล็อกเครื่องยนต์ช่วงบริเวณด้านหลังและติดตั้งถังน้ำมันขนาด 11 ลิตรในเรื่องของพละกำลังเครื่องยนต์ใช้พื้นฐานเครื่องยนต์แบบเดียวกันกับ Vespa GTS 300 กับสูบเดียวขนาด 278 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ เป็นระบบเกียร์ออโตเมติก ขับเคลื่อนด้วยสายพาน CVT จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด ระบบสตาร์ทไฟฟ้า ให้แรงม้าสูงสุด 23.8 แรงม้าที่ 8,250 รอบ และแรงบิด 26 นิวตันเมตรที่ 6,250 รอบ
การขับขี่ และ ความสะดวกสบาย
สวิงอาร์มแขนเดี่ยวด้านหน้า | โช้คเดี่ยวซับแทงค์ ปรับพรีโหลดและคอมเพรสชันได้ |
โช้คเดี่ยวด้านหลัง ปรับพรีโหลดได้ | ถังน้ำมันขนาด 11 ลิตร |
ต่อด้วยไฮไลท์อันโดดเด่นกับระบบช่วงล่างด้วยระบบกันสะเทือน I.S.S หรือระบบบังคับเลี้ยวอิสระ ติดมาพร้อมกับสวิงอาร์มเดี่ยวด้านหน้าทำงานควบคู่กับโช้คหน้าที่สามารถปรับพรีโหลดและค่าคอมเพรสชันได้ถึง 13 ระดับ ส่วนด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยวสามารถปรับพรีโหลดได้เช่นเดียวกัน
คาลิเปอร์ Brembo 2 ลูกสูบ |
|
คาลิเปอร์ Brembo 2 ลูกสูบ |
สำหรับระบบเบรกกับดิสก์เบรกหน้า-หลัง (ABS) พร้อมคาลิเปอร์เบรก Brembo หน้า-หลัง ขนาด 2 ลูกสูบ เดินสายถักเต็มระบบ ล้อดีไซน์ 5 ก้านคู่ หน้า 12 นิ้ว หลัง 13 นิ้ว รัดมาด้วยยาง IRC ขนาด 120/70 และ 140/60 แต่รอบนี้ทางทีมงานได้เปลี่ยนมาใช้ยาง Pirelli Diablo Rosso Scooter ตัวซิ่งสายฟ้าสำหรับทดสอบครั้งนี้ พร้อมน้ำหนักโดยรวมเคลมมาที่ 128 กก. สำหรับการดีไซน์โดยรวมเรียกได้ว่าทางแบรนด์นั้นได้ใส่ใจในชิ้นงานรายละเอียดทุกจุดเลยทีเดียว
ฟีลลิ่งที่ได้สัมผัส
ในเรื่องของมิติตัวรถนั้นไม่ได้ดูใหญ่อะไรมากมาย เพราะฉะนั้นเวลานั่งคร่อม แล้วมันรู้สึกได้เลยว่ากระชับ ขาถึงพื้นแทบจะย่อเสียด้วยซ้ำสำหรับคนส่วนสูง 175 ซม. ตัวเบาะอาจจะดูเล็กซักเล็กน้อย แต่ให้อารมณ์ในแบบสปอร์ต เวลาขยับก้นเตรียมเข้าโค้งนี่ตอบโจทย์สุด ๆ ฟีลเหมือนคร่อมรถสปอร์ตเห็นได้ชัด แต่อาจจะติดในเรื่องของพนักพิงด้านหลัง ถ้ามีฟังก์ชันถอดใส่ได้จะดีมาก ๆ ทีเดียว
ตอบโจทย์สายสปอร์ต
สำหรับระยะแฮนด์รู้สึกว่าไม่ได้กว้าง แต่เวลาคอนโทรลการเลี้ยวค่อนข้างหน่วงเล็กน้อยเสมือนติดกันสะบัดมาให้ ดังนั้นเวลาขับขี่อาจจะต้องรีดสกิล พวก Lean in, Lean out มาใช้ ถ้าเป็นมือใหม่ที่ไม่เคยใช้ทักษะพวกนี้ต้องลองไปฝึกกันดู แต่สำหรับผู้ขับขี่ที่มีสกิลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว..บอกเลยว่ามันส์
ในเรื่องของเครื่องยนต์ที่ให้มาก็ถือว่าเป็นมาตรฐานสำหรับการใช้งานขับขี่ทั่วไปบนท้องถนน กับเครื่องสูบเดียว 278 ซีซี แรงม้า 23.8 ตัว แรงบิด 26 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งได้ค่อนข้างนุ่มนวล รอบจังหวะเร่งแซงใช้งานได้ สปีดรอบสูงประมาณราว ๆ 130 กม./ชม. (ไปได้มากกว่านี้) อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของการใช้งานในรถคลาส 300 ซีซี แต่สำหรับในสนามแข่งอาจจะต้องไล่สเต็ปซักเล็กน้อย เพราะรถเดิมไม่อยู่ ต้องทำ หากอัปเกรดความแรงเพิ่ม ทางแบรนด์มีอะไหล่พร้อมรองรับบริการ
ช่วงล่าง ดีเกินคาด
ช่วงล่างนี่ต้องบอกว่าดีเกินคาดกับระบบกันสะเทือนและเบรกที่ให้มา ตัวโช้คซับแรงได้ดี ไม่แสดงอาการบั้มให้เห็น ถือว่าให้มาดี แถมยังปรับค่าสปริง ค่าการยุบตัวของโช้คได้อีกด้วย ร่วมกับระบบเบรกที่ให้เป็น Brembo มาทั้งหน้า-หลัง ทำให้รู้สึกมั่นใจได้มากขึ้น ในช่วงเวลาที่เบรก (กำเบรกหน้า) เหมือนรู้สึกว่าจะรถยุบแทบทั้งคัน ส่วนเบรกหลังยุบตามปกติ ก็อยากให้ระมัดระวังเรื่องการใช้เบรกซักเล็กน้อยเพราะที่ให้มาหนึบเกินสเปคจริง ๆ
ยางเกาะหนึบ
ในขณะที่ยางไม่ได้นำมาทดสอบ (ยางเดิม IRC) ก็ถือว่าใครที่ได้รถไปก็ลองไปทดสอบกันดู หรือถ้าไม่ถูกใจก็ลองเปลี่ยนมาใช้เป็นยาง Pirelli ได้ (รุ่นที่ทดสอบ เป็น Pirelli Diablo Rosso Scooter) โดยรูทสนามนั้นแบ่งเป็นทั้งโค้งกว้างและโค้งแคบ แต่มั่นใจได้ยางรุ่นนี้ เอาอยู่
คะแนนสำหรับรีวิวการทดสอบ
Design : 9.5/10 ดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ ดิบเปลือย ใช้ชิ้นส่วนประกอบการออกแบบคงความสปอร์ตในแบบรถอิตาลี
Ergonomic : 7/10 รู้สึกค่อนข้างกระชับ ตอบโจทย์สำหรับขับขี่ถนน แต่ในสนามแข่งที่ต้องขยับท่วงท่าทำให้ติดพนักพิงหลัง ถ้าเปลี่ยนเบาะหรือมีฟังก์ชันถอดใส่ได้ก็อาจจะดีขึ้นในเรื่องของการเพอร์ฟอร์แมนซ์ต่าง ๆ
Engine : 7/10 กำลังเครื่องยนต์เพียงพอต่อการขับขี่ใช้งาน ออกตัวสมูท ซิ่งได้ในระดับหนึ่ง ถ้าอยากไปต่อทางแบรนด์มีชุดแต่งข้าง Malossi จำหน่าย
Suspension : 9/10 ระบบช่วงล่างให้เกินสเปค และดีเกินคาดโช้คไม่มีอาการ เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ
Brake : 8.5/10 เบรกหน้าหนึบถูกใจแน่นอน แทบไม่ต้องแต่งเพิ่ม
Tyre : NA ไม่ได้นำมาทดสอบในครั้งนี้ แต่ทว่าถ้าหากอยากไปทางซิ่ง ก็ขอแนะนำยางสายฟ้า Pirelli Diablo Rosso Scooter
OVERALL : 8.5/10 โดยรวมถือว่าตัวรถค่อนข้างตอบโจทย์ โดยเฉพาะการดีไซน์และระบบช่วงล่างทำออกมาดี เครื่องยนต์มาตรฐานอัปเกรดได้แค่เพิ่มเพียง 20,000 บาทเท่านั้น
Ride or Upgrade : อัปชุดข้าง Malossi และยาง Pirelli รับประกันความมันส์เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
ข้อดี :
- ดีไซน์สวย ล้ำ ไม่เหมือนใคร
- ตัวรถออกแบบสรีรศาตร์มาเพื่อการขับขี่แบบสนามโดยเฉพาะ ให้ฟีลลิ่งการขับขี่เหมือนรถสปอร์ตดี ๆ คันหนึ่ง
- ระบบช่วงล่างดีเกินคาด ไม่ต้องแต่งเพิ่ม
ข้อเสีย :
- ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด
- เครื่องยนต์ให้ฟีลลิ่งถึงความสมูท นุ่มนวล สำหรับสายซิ่งต้องไปโมดิฟายเพิ่ม
- ด้วยแฟริ่งและตัวบอดี้ ค่อนข้างซับซ้อน การล้างรถจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะกวนใจไม่น้อย
สีและราคาจำหน่าย
สี Malossi 289,000 บาท |
|
สีดำ-แดง 269,000 บาท |
|
สีขาว-แดง 269,000 บาท |
|
สีขาว-เขียว 269,000 บาท |
ก็สรุปสำหรับเจ้า Italjet Dragster 300 รุ่นนี้ ในราคา 270K แต่สิ่งที่ได้มาทั้งการออกแบบดีไซน์ ชิ้นส่วนต่าง ๆ งานอิตาลีรอบคัน และอีกอย่างหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของโมเดลรุ่นนี้ก็คือ คาแรคเตอร์ที่ให้ความเป็นสปอร์ตแบบรถสนาม 100% เหมาะกับผู้ใช้งานที่มีรถสปอร์ต รถแข่งสนามเป็นทุนเดิมอยู่แล้วและอยากหารถไซส์เล็กมาใช้งานซักคันที่มีสไตล์เรซซิ่ง รุ่นนี้ตอบโจทย์ หรืออยากจะซื้อนำมาสะสมก็ย่อมทำได้ เพราะเรื่องของการออกแบบดีไซน์ ล้ำสมัยตามคอนเซ็ปต์ของทางแบรนด์อยู่แล้ว
ในเรื่องของความเชื่อมั่นในแบรนด์ อย่างที่ทราบกับว่า Italjet นั้นเป็นแบรนด์ใหม่ที่พึ่งเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราไม่นานนี้ อยากให้มองถึง ผู้เข้าจำหน่ายอย่าง บริษัท มาเวอร์ริค กรุ๊ป ก็ถือเป็นผู้นำเข้าอะไหล่และของแต่งอาทิ ผ้าเบรก Brembo, Domino Racing, BMC, Allegri, Matris, Austin Racing, SC-Project, Mivv. รวมถึงอื่น ๆ อีกมากมาย และดำเนินธุรกิจมามากกว่า 10 ปีแล้วนั่นเอง
เพราะฉะนั้นจึงกล้ารับประกันได้ว่าทางบริษัทพร้อมดูแลลูกค้าทุกท่าน การันตีได้จากโชว์รูมและศูนย์บริการเซอร์วิสต่าง ๆ ทั่วประเทศ และในอนาคตอาจมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในส่วนเรื่องคุณภาพการบริการหลังการขายสามารถรับประกันได้ว่า ดีลเลอร์แต่ละเจ้าที่ทางแบรนด์เลือกเป็นถึงระดับร้านของแต่งชั้นนำของประเทศ สบายใจหายห่วงได้แน่นอน เอาหล่ะกล่าวมาขนาดนี้ ต้องลองไปพิจารณากันดูแล้วนะ
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก