Home รีวิวและทดสอบ รีวิว BMW F900R ใหม่ เครื่องแรง ช่วงล่างเยี่ยม 

รีวิว BMW F900R ใหม่ เครื่องแรง ช่วงล่างเยี่ยม 

0

รีวิว BMW F900R ใหม่ เครื่องแรง ช่วงล่างเยี่ยม 

แม้จะเคยรีวิวทดสอบกันไปแล้วครั้งนึง แต่ครั้งที่แล้วอาจจะยังไม่ได้จุใจอะไรมากนัก เพราะรอบสื่อเวลาจำกัดจำเขี่ยแถมยังต้องทดลองขับขี่ถึงสองโมเดลพร้อมกันอีก มาคราวนี้เราก็เลย รีวิว BMW F900R กันอีกครั้งในรูปแบบวันเดย์ทริป ขี่ออกนอกเมือง ไปไกล ๆ หน่อย จะได้ทดสอบกันแบบจุใจ ให้รู้ไปเลยว่าดีแค่ไหน

ดุดันสไตล์สปอร์ต

 

สำหรับโมเดลใหม่นี้จะเป็นแบบออลนิว ดีไซน์มาใหม่ตั้งแต่หัวจรดท้ายเลยครับโดยมีช่วงตัวถังที่บึกบึนกำยำ ขณะที่ท้ายก็มีความเพรียวบางดูปราดเปรียว ตัวรถมีเส้นสายเฉียบคมขึ้นจากโมเดลเก่าอย่างชัดเจน และสำหรับในตัวนี้จะมีตัวครอบเบาะท้ายมาให้ด้วยเป็นการเพิ่มลูกเล่นให้มีความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้นกว่าโมเดลปกติอีกด้วย

ในส่วนของไฟหน้ามีเดย์ไทม์รันนิงไลท์สวยงาม มีลูกเล่น และยังให้ความสว่างเด่นชัดเจน ที่สำคัญคือมีระบบไฟหน้าอัตโนมัติและระบบไฟคอร์เนอริ่งไลท์หรือไฟที่ช่วยส่องสว่างเวลาเข้าโค้ง เพียงแค่รถเอียงทำมุม 7 องศา ทำให้ได้ทัศนวิสัยยามค่ำคืนได้กว้างและดียิ่งขึ้น 

ถัดขึ้นมาก็คงจะไม่พ้นตัวจอเรือนไมล์ที่เป็น TFT สีขนาด 6.5 นิ้ว ดูหรูหราหล่อเหลาและทันสมัย ซึ่งก็แสดงผลการทำงานต่าง ๆ ของตัวรถได้ครบถ้วน และสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกมากมายเมื่อเชื่อมต่อผ่านแอพลิเคชันกับสมาร์ทโฟน

นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนในอีกหลาย ๆ ส่วน เพราะโฉมก่อนหน้านี้ไปทำมาให้แหวกแนวไปจากรถปกติ ตอนนี้กลับมาเหมือนปกติทั่วไป ทั้งย้ายถังน้ำมัน ย้ายท่อไอเสีย ทำให้ดูลงตัว สมส่วน ตามที่ควรจะเป็นเหมาะสำหรับสายโรดสเตอร์ สุดคูล


เครื่องยนต์ 

เครื่องยนต์ 2 สูบเรียงขนาด 895 ซีซีเครื่องใหม่ ได้ซีซีมาจากการปรับแต่งขยายไซส์ให้ขึ้นกว่าเดิมแต่วางบนเฟรมใหม่แบบโมโนค็อกบริดจ์เฟรมที่ใช้เครื่องเป็นส่วนนึงในการรับแรงเครียดจากเฟรม แน่นอนว่าเมื่อความจุมากขึ้น พละกำลังก็ต้องมากขึ้น โดยผ่านมาตรฐาน Euro5 แล้ว ทั้งนี้เคลมแรงม้ามาที่ 99 แรงม้าที่ 8,500 รอบ และเคลมแรงบิดมาที่ 92 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบ และเคลมท็อปสปีดที่ 216 กม./ชม.

การสั่งการทุกอย่างถูกควบคุมด้วยคันเร่งไฟฟ้าแค่เพียงบิดเบา ๆ ก็สัมผัสได้ถึงแรงบิดที่มาตั้งแต่ความเร็ว ๆ รอบต้น เครื่องยนต์ 6 เกียร์นี้ ตอนที่ผมทดสอบสามารถทำท็อปสปีดได้สูงทะลุ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเมื่อตัวรถใช้ระบบคันเร่งไฟฟ้า มันก็เลยมีลูกเล่นแถมมาเป็นโหมดการขับขี่ โดยสามารถที่จะปรับได้ขณะขับขี่อีกด้วย

 

ซึ่งส่วนตัวจากการทดสอบทั้ง 3 โหมดที่มีมาให้จากโรงงาน ผมชอบโหมด Dynamic มากที่สุดเพราะเป็นโหมดที่คันเร่งตอบสนองไวมาก บิดเร่งแซงได้หายห่วง รวมไปถึงช่วงฝนตกก็ได้มีโอกาสทดสอบ โหมด Rain ที่ตัวรถจะสั่งงานให้รถส่งกำลังออกมาได้เนียน ไม่กระโชกโฮกฮาก จากการที่แทร็กชั่นคอนโทรลของตัวรถสามารถที่จะทำงานได้อย่างละเอียดเนียนมาก ๆ บอกตรงนี้เลยว่าเครื่องยนต์ตัวนี้ ขี่สนุกใช้งานในเมืองหรือนอกเมืองได้อย่างสบาย ๆ 


ช่วงล่างเยี่ยม 

สำหรับในส่วนของช่วงล่างก็ถือว่าของที่ให้มาดีพอสมควร ด้านหน้านะครับจะเป็นโช้คหัวกลับขนาดแกน 43 ม.ม. ในส่วนของโช้คหลังจะเป็นโช้คเดี่ยวที่สามารถปรับสปริงพรีโหลดและรีบาวด์แดมปิ้งได้ ซึ่งตรงโช้คหลังนี้จะมีระบบ  Dynamic ESA (Dynamic Electronic Suspension Adjustment) ช่วยปรับความหนืดของโช้คให้เหมาะสมกับการขับขี่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือปรับไฟฟ้านั้นเอง 

จากการทดสอบต้องยกความดีความชอบให้กับโช้คหลังเลยที่สามารถปรับไฟฟ้าได้ ซึ่งจะให้เลือก 2 โหมดคือ โหมด Road และโหมด Dynamic โดยในโหมด Road จะให้ฟีลลิ่งนุ่มนวล สบาย ๆ ขี่ได้เรื่อย ๆ แต่ถ้าอยากจะให้ช่วงล่างกระชับขึ้นให้ปรับไปที่โหมด Dynamic ตัวมอเตอร์ไฟฟ้าจะปรับค่าแดมปิ้งให้หนืดแน่นมากยิ่งขึ้น เวลาเลี้ยวด้วยความเร็วสูง ๆ หรือเปลี่ยนเลนแบบกะทันหัน โหมดนี้ช่วยได้เยอะเลย

เรามาพูดในส่วนของเบรกกันบ้าง ด้านหน้าจะเป็นดิสก์เบรกคู่ขนาด 320 ม.ม.กับคาลิเปอร์เบรก Brembo แบบเรเดียลเมาท์ 4 ลูกสูบ ด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 265 ม.ม. กับคาลิเปอร์เบรก Brembo 1 ลูกสูบ ซึ่งถือว่าให้มาเหมาะสมกับตัวรถ แต่ทีเด็ดคือเทคโนโลยี ABS Pro และระบบ DBC หรือไดนามิกเบรกคอนโทรลของ BMW ที่ตอนนี้ผมว่ามันคือนัมเบอร์วันเลยครับ

เวลาเรากำเบรกหรือเหยียบเบรกมั่นใจได้เลยว่าจะตอบสนองได้อย่างทันทีไม่มีบกพร่อง แม้กระทั่งกดแรงจนล้อล็อกตัว ABS ก็ทำงานได้อย่างเสถียรรวมไปถึงการกำเบรกในโค้ง ตรงนี้คือของดีมากเลยเพราะช่วยรักษาสเถียรภาพตัวรถให้พ้นช่วงอันตรายและตัวรถไม่ตั้งตรงจนเสียอาการแต่อย่างใด ปลอดภัยโดยไม่ต้องใช้แรงเยอะด้วย 

และสุดท้ายในส่วนของช่วงล่างด้วยความที่เป็นเน็กเก็ตไบค์ออกตัวแรง ๆ หน้าเบา ๆ ตกหลุมหนัก ๆ อาจจะทำให้ตัวรถสะบัดได้ทางโรงงานได้ติด กันสะบัดมาให้ด้วยเลย ทำให้การขับขี่ปลอดภัยมากขึ้นและยังช่วยให้รถดูเหมือนมีของแต่งเต็มขึ้นไปอีกระดับ  


ท่านั่งกึ่งสปอร์ต

สำหรับเจ้าเน็กเก็ตโร้ดสเตอร์คันนี้มีท่านั่งออกแนวกึ่งสปอร์ต เนื่องจากตำแหน่งที่พักเท้าดูสูงเยื้องไปทางข้างหลังหน่อย ๆ ให้ฟีลลิ่งคล้ายรถสปอร์ต ระยะแฮนด์บาร์พอดี และตำแหน่งเบาะนั่งที่ถูกออกแบบมาให้อยู่ช่วงกลางลำตัวรถ หากได้ลองขี่ดูจะสัมผัสได้ว่าจุดศูนย์ถ่วงอยู่กลางตัวรถพอดี และท่านั่งที่ได้ไม่ก้มจนมากเกินไป 

ซึ่งท่าที่ได้มานี้ทำให้การบังคับเลี้ยวได้ง่าย รวมไปถึงช่วงความเร็วสูง ๆ ก็จะไม่ชนกับลมปะทะมากมายนัก เพราะเกิดจากแฟริ่งที่ครอบถังน้ำมันถูกออกแบบเส้นสายตัวรถที่มีแอโรไดนามิกมาช่วยในส่วนนี้ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลยนะครับ ยังไงก็ตามี่ความเร็วสูง ๆ ก็ต้องมีบ้างนะครับ ไม่ใช่ไม่โดนลมเลย 

สำหรับการทดสอบครั้งนี้เรามาออกทริปขี่เล่นสัก 200 – 300 กิโลเมตร ถ่ายรูปบ้าง พักบ้างก็ถือว่ารับได้ ขี่ได้สบาย ๆ ไม่ทรมาน ไม่เมื่อย โดยรวมท่านั่งการขับขี่เหมาะสำหรับสายหล่อเลย พูดตรง ๆ เพราะเวลาขี่ มันดูเท่ดูดีมีภูมิฐานเอามาก ๆ เลยละครับ


เทคโนโลยีเพียบ

 

สำหรับเรื่องเทคโนโลยีก็เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่แล้ว สำหรับรถแบรนด์เยอรมันอย่างบีเอ็มดับเบิ้ลยู ค่ายนี้ขึ้นชื่อว่าเทคโนโลยีล้ำและแน่นจริง ๆ นี่ขนาดไม่ใช่พิกัดระดับตัวท็อปของค่าย เป็นเน็กเก็ดระดับกลางไปทางสูง แต่ก็ให้เทคโนโลยีมาค่อนข้างครบครัน

เริ่มต้นก็เรียกว่าสบายตั้งแต่ไม่ต้องเสียบกุญแจแล้วละครับ มีระบบคีย์เลสไลท์ สามารถกดปุ่มสตาร์ทได้เลย เพียงพกกุญแจไว้ที่ตัว 

ตัวหน้าจอเรือนไมล์สี TFT ขนาด 6.5 นิ้วนี่ก็ใหญ่เบอร์ต้น ๆ แล้ว สามารถบอกข้อมูลทุกอย่างของตัวรถ ไฟบอกเกียร์ ชิพต์ไลท์หรือไฟแจ้งเตือนการเปลี่ยนเกียร์ ข้อมูลการเซอร์วิสต่าง ๆ 

ตัวหน้าจอนี้ยังสามารถที่จะเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ผ่านแอฟ BMW Motorrad Connected APP ซึ่งทางเราได้ลองใช้ระบบนำทางแบบ Turn-by- turn ก็สามารถเชื่อมต่อใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังสามารถใช้งานรับสายโทรศัพท์ ฟังเพลง เป็นต้น โดยสามารถเลือกใช้งานง่าย ๆ ผ่านมัลติคอนโทรลเลอร์หมุน ๆ ปรับ ๆ ง่าย ๆ ปลอดภัยขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย 

ระบบความปลอดภัยก็พรั่งพร้อมไม่ว่าจะเป็นระบบรักษาสมดุลรถอัตโนมัติ ระบบไดนามิกแทร็คชันคอนโทรล ระบบเบรก ABS Pro ระบบไดนามิกเบรกคอนโทรล และโหมดการขับขี่อีก 3 โหมด และระบบไดนามิกเอ็นจิ้นเบรกคอนโทรล ซึ่งจะทำงานร่วมกันช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ได้มากเลย

นอกจากนี้ตัวรถยังมีระบบเกียร์ชิฟต์แอสซิสต์แทนต์โปร (ควิกชิฟเตอร์แบบ 2 ทาง) ซึ่งช่วยให้การขับขี่เป็นไปได้ง่ายและสบายมากขึ้น 


สรุป

สำหรับใครที่ต้องการรถเน็กเก็ดไบค์ที่ขี่ง่าย คันเร่งเบา เครื่องยนต์แรง เทคโนโลยีเต็มระบบ ชื่นชอบการดีไซน์ที่ล้ำสมัย บอกเลยว่าเจ้า BMW F900R คันนี้ เหมาะกับคนที่ใช้ขับขี่ทำงานในเมือง เพราะตัวรถมีความคล่องตัว แถมยังดูดีมีภูมิฐานหล่อ ๆ ถ้ามาในแนวนี้ เลือกคันนี้ได้เลย เพราะว่าขี่ไปไหนก็มีแต่คนมอง สะดุดตา ตอบโจทย์แน่นอน นอกจากนี้ด้วยกำลังเครื่องที่มีให้ใช้จะออกต่างจังหวัดไกล ๆ ก็ทำได้ แม้ว่าจะไม่สบายเท่ากับอีกคันที่เป็นแฝดคนละฝาอย่าง F900XR ที่มาในสไตล์ของสปอร์ตทัวริ่งก็ตาม แต่ก็ทำได้นะครับ

 

สุดท้ายนี้ค่าตัวของเจ้าคันนี้อยู่ที่ 520,000 บาท (สำหรับตัวสแตนดาร์ดจะอยู่ที่ 495,000 บาท) โดยท่านที่สนใจสามารถไปดูและทดลองขับขี่ได้ที่ BMW Motorrad ทั่วประเทศไทยได้เลย และสุดท้ายจริง ๆ ครับ ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลโควิดครับทุกคน 

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Exit mobile version