Home รีวิวและทดสอบ รีวิว ทดสอบ Ducati Streefighter V4S 2023

รีวิว ทดสอบ Ducati Streefighter V4S 2023

0

รีวิว ทดสอบ Ducati Streefighter V4S 2023

หลาย ๆ คนน่าจะได้รับรู้กันแล้วว่าซูเปอร์เน็กเก็ดที่ร้อนแรงที่สุดในตอนนี้ก็คือเจ้าสตรีทไฟเตอร์จากทางค่ายแดง และล่าสุดทางอิตาลีเองก็เพิ่งเปิดตัวโมเดลใหม่ฉบับปรับปรุง พร้อม ๆ กับส่งเทียบเชิญให้เราได้มีโอกาสพิเศษบินไปทดสอบกันแบบจัดเต็มถึงที่สนาม Almeria ประเทศสเปน เพื่อทำการ รีวิว ทดสอบ Ducati Streetfighter V4S 2023 คันใหม่นี้ มาให้แฟน ๆ SuperBike Thailand ได้อ่านกันครับ

โฉบเฉี่ยวดุดัน

สำหรับซูเปอร์เน็กเก็ดคันนี้ใครเห็นก็ต้องบอกได้ทันทีว่านี่คือเจ้าสตรีทไฟเตอร์จากค่ายแดง ด้วยดีไซน์ดุดันก้าวร้าว แต่ก็มีความเรียบง่ายไม่ซับซ้อน โดยเฉพาะด้านหน้าของตัวรถที่ได้แรงบันดาลใจจากการออกแบบมาจากใบหน้าของตัวละครชื่อดังอย่างโจ๊กเกอร์ ตัวร้ายระดับแถวหน้าของโลกคอมมิก มีเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์เสมือนดังคิ้วและไฟหน้าเสมืองดั่งดวงตาของวายร้ายนั่นเอง ในส่วนที่เปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับโมเดลเดิมจะมีในเรื่องของถังน้ำมันที่ออกแบบทรงมาใหม่ที่ช่วยให้นั่งสบายกว่าเดิมอีกทั้งยังจุน้ำมันได้มากขึ้นอีกครึ่งลิตรอีกด้วย

ที่สำคัญในส่วนของการออกแบบดีไซน์โมเดลนี้ก็คือ การออกแบบโดยคำนึงเรื่องของแอโรไดนามิก ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นรถเน็กเก็ดไบค์ แต่ก็มีการใส่วิงก์เล็ตคู่เข้ามาเพื่อให้มีความนิ่งที่ความเร็วสูงและขณะเบรก อีกทั้งยังลดโอกาสที่จะหน้าลอยขึ้นเมื่อเร่งความเร็วหนัก ๆ โดยเจ้าปีกที่ว่าสามารถสร้างแรงกดที่ล้อได้มากถึง 28 ก.ก.ที่ความเร็ว 270 กม./ชม. ทั้งยังช่วยให้มีความเร็วลมที่จะไหลผ่านระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ได้ดีขึ้นอีกด้วย และยังเพิ่มความหล่อเท่ดุดันอีกด้วย

 

และสำหรับโมเดลนี้ยังมาพร้อมเฉดสีใหม่ที่เรียกได้ว่าเข้มดุดัน ด้วยสีเฉดสีเทาและสีดำที่เข้าคู่กันอย่างลงตัว แต่สำหรับคนที่ชอบความเข้มขลังแบบตรงค่ายก็ยังมีสีแดงดูคาติเรด ให้เลือกอยู่เช่นเคยครับ

แรงที่สุดในรถเน็กเก็ด

เรื่องของขุมพลังนั้นเห็นทีจะไม่มีโมเดลไหนแรงไปกว่านี้อีกแล้วเมื่อเทียบกับรถเน็กเก็ดไบค์ด้วยกัน เจ้านักสู้คันนี้มีพละกำลังสูงถึง 208 แรงม้าที่ 13,000 รอบ และแรงบิดสูงสุดที่ 123 นิวตันเมตรที่ 9,500 รอบ จากเครื่องยนต์ V4 แบบ 90 องศา ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 1,103 ซีซี ที่มีชื่อว่า Desmosedici Stradale ซึ่งเป็นการยกมาจากเจ้า Panigale มาตรง ๆ เลย แต่มีปรับเปลี่ยนเรื่องแม็ปปิ้งให้เหมาะกับการใช้งานบนท้องถนนมากขึ้น โดยมีแรงบิดกว่า 70% ในช่วงรอบต่ำเพียง 4,000 รอบ และนอกจากนี้ฝั่งขวาของเครื่องยังมีการใช้ฝาครอบคลัตช์ของ Panigale ที่ง่ายต่อการติดตั้งคลัตช์แห้งและการ์ดครอบคลัตช์ภายหลังอีกด้วย

โดยขุมพลังตัวนี้เด่นเรื่องของระบบวาล์วที่ทำงานได้อย่างแม่นยำมาก รวมถึงยังสามารถรองรับความเร็วรอบสูง ๆ ได้มากถึง 15000 รอบที่เกียร์ 6 ยังมีตัว

ช่วงล่างชั้นยอด

ช่วงล่างนั้นหลักก็จะเป็นเฟรมอลูมิเนียมร่วมกับสวิงอาร์มเดี่ยวอลูมิเนียม ระบบกันสะเทือนด้านหน้าก็จะเป็นโช้คหน้าหัวกลับ Showa BPF ขนาด 43 ม.ม. ปรับแต่งได้เต็มระบบ ขณะที่ด้านหลังจะเป็นโช้คเดี่ยวของ Sachs ที่ปรับแต่งได้เต็มระบบเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีกันสะบัดจาก Sachs มาให้ด้วย ขณะที่ระบบเบรกจะเป็นหน้าที่ของ Brembo ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกคู่พร้อมคาลิเปอร์เบรก Brembo Stylema ส่วนด้านหลังก็จะเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวพร้อมคาลิเปอร์เบรก Brembo เช่นกัน และล้อก็จะเป็นล้ออลูมิเนียมอัลลอย 5 ก้านรัดด้วยยาง Pirelli Diablo Rosso IV Corsa ที่ร้อนไว หนึบสุดเหมาะกับการขี่ในถนน หรือจะขี่ในแทร็กก็ไปได้เช่นกัน

Ohlins NIX30

Ohlins TTX36

ทว่าสำหรับโมเดลรหัส S ที่ผมได้ทดสอบก็จะมีการอัปเกรดขึ้นมาในหลาย ๆ ส่วนเมื่อเทียบกับตัวธรรมดา โดยระบบกันสะเทือนก็จะเป็นระบบปรับไฟฟ้าอัตโนมัติทั้งระบบ Ohlins Smart EC 2.0 โดยด้านหน้าจะเป็น Ohlins NIX30 และด้านหลังเป็น Ohlins TTX36 ที่ปรับแต่งได้เต็มระบบ ส่วนระบบเบรกนั้นไม่ได้แตกต่าง แต่จะมาแตกต่างกันในส่วนของล้อที่ตอนนี้จะได้เป็นล้อฟอร์จอลูมิเนียม 3 ก้านแทน ส่วนยางจะเป็นยางตัวเดียวกัน นอกจากนี้ยังจะได้แบตเตอรี่แบบลิเทียมไอออนที่มีน้ำหนักเบาลง 1.7 กก. ด้วย ซึ่งส่วนที่อัปเกรดเข้ามานั้นทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาลงกว่า 2 กก. แม้ว่าจะมีระบบโช้คไฟฟ้าที่หนักกว่าก็ตาม

อัปเกรดระบบอิเล็กทรอนิกส์

ระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็มีการอัปเกรดเพิ่มเติม นำโลจิค Power Mode ตัวใหม่ที่ปัจจุบันมีในพานิกาเล่ตัวปัจจุบันมาใช้กับเจ้านักสู้คันนี้ด้วย โดยจะมี 4 ระดับด้วยกันได้แก่ Full, High, Medium และ Low ซึ่งก็จะมีการส่งกำลังแตกต่างกันไป และไม่ขึ้นกับโหมดการขับขี่อื่น ๆ อีกด้วย ยังมีโหมดการขับขี่ใหม่คือ Wet Mode ที่ออกแบบมาสำหรับสภาพถนนที่มีการยึดเกาะต่ำ หรือพูดตรง ๆ ว่าถนนเปียกนั่นแหละ โดยจะล็อกแรงม้าไว้ที่ 160 แรงม้า และตอบสนองกับคันเร่งอย่างนุ่มนวล

นอกจากนี้ยังมีหน้าจอแสดงผลสี TFT 5 นิ้วที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งมีการปรับปรุงการแสดงผลใหม่ให้อ่านค่าต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีโหมดการแสดงผลแบบใหม่ Track Evo สำหรับคนที่ชื่นชอบการขับขี่ในแบบของเรซซิ่งนั่นเอง และสำหรับโมเดล S ก็จะสามารถควบคุมปรับแต่งโช้คไฟฟ้าผ่านทางหน้าจอนี้ได้เลย

 

ในส่วนของระบบอื่น ๆ ก็มีมาให้ครบครันเช่นเคยไม่ว่าจะระบบช่วยออกตัว ระบบกันลอยตัวของล้อ ระบบโช้คไฟฟ้าสำหรับโมเดล S ระบบแทร็คชันคอนโทรล EVO 2 ระบบควิกชิฟเตอร์แบบ 2 ทาง ระบบควบคุมเอ็นจิ้นเบรก ระบบเบรกคอร์เนอริ่ง ABS และระบบควบคุมการสไลด์ของรถ ซึ่งระบบต่าง ๆ จะทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผลแรงเฉื่อยแบบ 6 แกนซึ่งจะทำให้ระบบต่าง ๆ ทำงานกันได้ดียิ่งขึ้น

มันคือ Panigale ที่ถูกเปลื้องผ้าและจับใส่แฮนด์บาร์

พูดถึงรายละเอียดตัวรถมาก็มากแล้ว มาเข้าเรื่องฟีลลิ่งการขับขี่หลังที่ได้ลองไปหวดกันในแทร็กกันบ้างดีกว่า ฟีลลิ่งของช่วงล่างที่ได้ลองนั้นเรียกได้ว่าเนียนมาก ๆ เนื่องจากช่วงล่างไฟฟ้าที่ให้มานั้นเป็นระบบที่ทำงานตลอดเวลา ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการขับขี่ในขณะนั้นด้วยหน่วยประมวลผลแรงเฉื่อยที่ทำให้รู้ว่ารถอยู่ในอาการไหน นั่นทำให้รถแทบจะไม่มีอาการอะไร ซึ่งทำให้เราสามารถโฟกัสไปกับการขับขี่ เบรก หรือมองโค้ง คุมคันเร่งโดยไม่เหวอ โดยไม่ต้องไปหงุดหงิดกับช่วงล่างหรืออาการของรถ ถือว่าช่วงล่างไฟฟ้าตัวนี้ตอบโจทย์สำหรับนักเลงแทร็กเดย์ที่ขี่ลงสนามคนเดียว ไม่มีใครให้ปรึกษา หรือ ไม่ได้มีความเข้าใจในการหาเซ็ตอัปช่วงล่างให้เหมาะสม ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่ใครจะทำได้

อีกส่วนที่จับความรู้สึกได้ทันทีที่นั่ง คือ ท่านั่งที่เปลี่ยนไป มิติท่านั่งใหม่ทำให้มันเป็นรถที่ขี่ถนนได้ง่ายขึ้น ซึ่งมาจากถังน้ำมันที่ปรับรูปทรงมาใหม่นั่นเอง ใช้ขาหนีบถังได้ง่าย เข้าทรง เวลาเบรกหนัก ๆ ใช้แรงขายันได้ ไม่จุก และเบาะหนานุ่ม นั่งสบาย ตัววรถเองก็มีมิติตรงเบาะนั่งที่แคบไม่ทำให้รู้สิกเหมือนแหกขาขี่ ยังมีส่ววนท้ายเบาะที่ยาวและกว้าง ทำให้คนที่ขายาว ตัวสูงก็ขี่ได้ เนื่องจากมีพื้นที่ให้ปรับท่านั่ง ซึ่งดีกว่ารุ่นก่อนจริง ๆ

มีจุดนึงที่เป็นทั้งข้อดีและข้อที่ต้องขอติงนิดนึงซึ่งก็คือ พักเท้าที่ต่ำไป ข้อดีคือมันนั่งสบาย เหมาะกับการขับขี่เดินทางออกทริป แต่กลับกันเมื่อขี่ในสนามแล้วพักเท้าต่ำ เวลาเข้าโค้งนอนโค้งองศามาก ๆ แล้วปลายเท้าขูด ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้เกิดที่ผมคนเดียว แต่นักขี่หลายคนที่ไปเทสต์พร้อมกันก็เจอปัญหาเดียวกัน ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดเลยถ้าไม่ได้ขี่ในสนาม อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับสรีระของคนขับอีกด้วย ซึ่งสามารถปรับแก้ด้วยการปรับตำแหน่งพักเท้าเอา

ส่วนเรื่องของระบบเบรกที่ให้มานั้นถือว่าเกือบจะสุดยอดแล้ว ทว่าพอใช้งานในแทร็กแล้วก็เลยอยากจะให้เพิ่มผ้าเบรกเกรดเรซซิ่งเข้ามาซึ่งน่าจะช่วยให้ขับขี่ได้ดียิ่งขึ้นไปอีก

ต่อกันในเรื่องของระบบอิเล็กทรอนิกส์ถือว่าค่อนข้างล้ำสมัยกว่าหลาย ๆ ค่าย และสามารถปรับใช้งานได้หลากหลายกว่ามาก โดยในโหมดการขับขี่มีให้เลือก 4 แบบ คือ Rain, Road, Sport และ Race ซึ่งในแต่ละโหมดนั้นก็จะมีค่าตั้งต้นมาจากโรงงานที่ต่างกันออกไป แต่เราสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ละเอียดทุกโหมด โดยไม่ถูกโหมดควบคุมกำลังครอบเอาไว้ ซึ่งการปรับเปลี่ยนโหมดจะเปลี่ยนได้ตอนรถจอดเท่านั้น แต่ การตั้งค่าอื่น ๆ สามารถปรับได้ทันทีระหว่างขี่ เช่น ระดับของแทร็คชันคอนโทรล ระดับของระบบควบคุมการลอยตัวของล้อ ระบบควบคุมเอ็นจิ้นเบรก ระบบเบรก ABS เป็นต้น โดยเพิ่มลดได้ด้วยปุ่มข้างซ้าย ง่ายและไม่ซับซ้อน แค่เลือกว่าจะปรับอะไร กดค้าง 1 ที เพื่อเข้าไปปรับแต่งแล้วกดเพิ่มหรือลดได้ตามสะดวก

 

สรุปสั้น ๆ สำหรับผมมันคือ Panigale ที่ถูกถอดแฟริ่งและจับใส่แฮนด์บาร์เข้ามาแทนยังไงยังงั้นเลย

สำหรับการ รีวิว ทดสอบ Ducati Streefighter V4S 2023 เวอร์ชั่นใหม่นี้ ผมว่ามันเป็นรถเน็กเก็ดที่แรงที่สุดเท่าที่เคยขี่มาเลย แต่กระนั้นมันกลับเป็นรถที่ขี่ง่าย และเป็นมิตรกับเจ้าของ ด้วยโหมดควบคุมกำลังเครื่องยนต์ ปรับกำลังเครื่องเริ่มต้นที่ 160 แรงม้า จนถึงแรงที่สุด 208 แรงม้า ให้เจ้าของรถสามารถ “เรียนรู้” การขับขี่ได้จากโหมดเบา ๆ ก่อนและค่อย ๆ พัฒนาสกิลตามกำลังเครื่องได้

มันสามารถเป็นรถตัวจบคันแรกสำหรับมือกลาง ๆ และเป็นรถคันที่สองสำหรับมือเก๋าที่เบื่อกับการปวดหลัง นอกจากนี้ยังมีรุ่นพิเศษรันนัมเบอร์เฉพาะคัน มีรหัสต่อท้ายว่า SP2 ที่มาพร้อมชุดสีแบบวินเทอร์เทสต์ และอัปเกรดไปอีกระดับด้วยการให้ล้อคาร์บอนไฟเบอร์ บังโคลนคาร์บอนไฟเบอร์ และปีกจากคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้รถเบาลงเหลือเพียง 196.5 กก.เท่านั้น กับคาลิเปอร์เบรกหน้า Stylema R ที่อัพเกรดเพิ่มเติม และคลัตช์แห้ง STM-EVO SBK

เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากได้รถระดับตัวพันที่แรง แต่ขี่ง่าย และไม่อยากเมื่อย นี่แหละตัวจบ เพราะเทคโนโลยีและความแรงที่ให้มานั้นตอบโจทย์ได้ดีจริง ๆ และถ้าเงินเหลือมากหน่อยก็ SP2 เป็นคำตอบสุดท้ายครับ

สเป็คและรายละเอียดอื่น ๆ

เครื่องยนต์ 4 สูบวีระบายความร้อนด้วยน้ำ
ปริมาตรกระบอกสูบ 1,103 ซีซี
แรงม้า (เคลม) 208 แรงม้าที่ 13,000 รอบ
แรงบิด (เคลม) 123 นิวตันเมตรที่ 9,500 รอบ
ระบบวาล์ว Desmodromic 4 วาล์วต่อสูบ
ขนาดกระบอกสูบ/ช่วงชัก 81 X 53.5 ม.ม.
อัตราส่วนการอัด 14.0:1
ระบบเกียร์ 6 สปีด
ระบบจุดระเบิด ไฟฟ้า
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง หัวฉีดไฟฟ้า
ระบบสตาร์ท สตาร์ทไฟฟ้า
ระบบคลัตช์ คลัตช์เปียกแบบหลายแผ่นซ้อนกัน
ระบบส่งกำลังสุดท้าย โซ่
ล้อและยางหน้า ล้อฟอร์จอลูมิเนียมและยาง Pirelli Diablo Rosso IV Corsa 120/70-ZR17″  แบบไม่ใช้ยางใน
ล้อและยางหลัง ล้อฟอร์จอลูมิเนียมและยาง Pirelli Diablo Rosso IV Corsa 200/60-ZR17″  แบบไม่ใช้ยางใน
ระบบกันสะเทือนหน้า โช้คหัวกลับ Ohlins NIX30 43 ม.ม. ปรับแต่งได้เต็มระบบ ระยะยุบ 120 ม.ม.
ระบบกันสะเทือนหลัง โช้คเดี่ยว Ohlins TTX36 ปรับแต่งได้เต็มระบบ ระยะยุบ 130 ม.ม.
เบรกหน้า (เบรค) ดิสก์เบรกเดี่ยวคู่ 330 ม.ม. คาลิเปอร์เบรก Brembo Stylema แบบ 4 ลูกสูบ ระบบเบรก Cornering ABS
เบรกหลัง ดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 245 ม.ม. คาลิเปอร์เบรก Brembo 2 ลูกสูบ ระบบเบรก ABS
ยาว X กว้าง X สูง NA
ระยะฐานล้อ 1,488 ม.ม.
ระยะห่างจากพื้นถึงตัวรถ 155 ม.ม.
ความสูงเบาะ 845 ม.ม.
น้ำหนักรถพร้อมของเหลว 197.5 ก.ก.
ความจุถังน้ำมัน 17 ลิตร
ประเภทของน้ำมันที่เติมได้ NA
เทคโนโลยี
  • หน้าจอสี TFT 5 นิ้วเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้
  • ไรดิ้งโหมด
  • พาวเวอร์โหมด
  • ระบบเบรก Cornering ABS
  • แทร็คชันคอนโทรล
  • ระบบควบคุมการลอยตัวของล้อ
  • ระบบควบคุมการสไลด์
  • ระบบควบคุมเอ็นจิ้นเบรก
  • ระบบช่วยออกตัว
  • ระบบควิกชิฟเตอร์แบบ 2 ทาง
  • ระบบไฟ LED รอบคัน
  • ระบบโช้คไฟฟ้าปรับอัตโนมัติ
  • ระบบยกเลิกไฟเลี้ยวอัตโนมัติ

Exit mobile version